Wednesday, January 30, 2008

เซียนกุนเชียง

วันนี้ขอทำตัวเป็นเซียนกุนเชียง เนื่องจากมีเพื่อนรักเพื่อนเกลอย้ายรกรากมาอยู่ร่วมประเทศแต่เป็นฝั่งนอร์ธอีสต์ แล้วเราต่างก็เป็นบิ๊กแฟนของคุณกุนเชียงเค้า ก็ได้แต่ไล่ล่าหายี่ห้อที่อร่อยถูกปากเฉกเช่นที่เคยลิ้มรสตอนอยู่ที่เมืองไทย หลายปีผ่านมา ลองมาหลายยี่ห้อ ก็พบว่ายี่ห้อ “แช้มป์“ อร่อยสุดๆ และผลิตโคยคนไทย แถมเขายังลืออีว่าต้นตำหรับเป็น “รอยั่ล-เซเลบ“ เสียด้วย ไม่รู้ว่าจริงหรือป่าว เอาเป็นว่า อาร้อยยยยย….อาหร่อย

ส่วนตัวแล้วชอบเหวยกุนเชียงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ตอนนี้ก็มาปลูกฝั่งให้สาวก (ลูกๆ) หลงไหลคลั่งไคล้ในกุนเชียงเหมือนแม่ ก็เลยต้องมีติดบ้านไว้เสมอๆ ส่วนวิธีการทำให้สุก ก็ทำอยู่ 2 วิธี คือทอด กับ อบในเตาติ๊ง (เตาติ๊ง คือ เตาอบไฟฟ้าขนาดเล็กถึงจิ๋ว-เมื่อหมดเวลาที่ตั้งไว้มันจะส่งเสียงดัง “ติ๊ง” กระจ่างป๊ะ 5555)


ดูสารรูปเตาติ๊ง (ศพ) อันเก่า กับ อันใหม่ที่เพิ่งลากมาเสียก่อน คือ จะเอาเตาไว้ใช้นอกบ้าน ไว้อบสารพัดตามชอบ ไม่ต้องกลัวกลิ่น ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้บ้านร้อน ราคาย่อมเยา เหม็นขี้หน้าหรือสกปรกเกินทำใจก็จับโยนทิ้งไป จริงๆ แล้วมีอีกหนึ่งอันจิ๋วมากๆ เอาไว้ในบ้าน ไว้อบโทสต์หรืออุ่นพิซซ่า ไม่ชอบอุ่นอาหารบางจำพวกในเตาไมโครเวฟ ส่วนเตาปิ้งหนมปังก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากปิ้งหนมปัง สู้เตาติ๊งไม่ได้เลย ส่วนเตาอบใหญ่ ก็ไว้อบเค้ก อบอะไรที่เป็นการใหญ่ แต่หน้าร้อนจะหลีกเลี่ยง เพราะมันทำให้บ้านร้อนมากๆ ไม่ชอบเลย


เริ่มด้วยการอบกุนเชียงในเตาติ๊ง
1) หั่นครึ่งตามยาวตลอดแนว
2) บั้งด้านนอก (โค้งๆ น่ะ) ห่างๆ ถี่ๆ ตามชอบ โดยไม่ต้องให้ลึกมากนัก เหตุที่ต้องบั้งก็เพราะ ถ้าเอาเข้าอบเลยโดยไม่บั้ง ท่านก็จะงอ โง้ง โก่ง โค้ง นอกจากไม่สวยงามแล้ว อาจทำให้ไหม้เกรียมในส่วนที่โก่งโค้งเป็นเขากระบือนั่นได้
3) เอาด้านแบนวางลงบนถาด
4) อบ อบ อบ จนดัง “ติ๊ง“
เสร็จพิธีนำออกมาทานกับ ข้าวสุก ข้าวสวย ข้าวต้ม ข้าวเหนียวตามชอบ อยากหั่นเป็นคำๆ ก็เชิญตามชอบ แบบนี้เอาไปยำก็ดีนะ…สิบอกไห่ (แต่ตัวเองไม่ชอบยำกุนเชียง-แล้วเจือกแนะนำ คือชอบทานเพียวๆ 55555)


วิธีที่ 2 คือ ทอดกุนเชียงด้วยน้ำ
1) หั่นกุนเชียงเป็นแว่นๆ หนาบางตามชอบ
2) เอาฝูงกุนเชียงที่หั่นแล้วโยนลงในกะทะ เติมน้ำพอท่วม
3) ต้มให้น้ำงวดลงเรื่อย หมั่นคนเป็นระยะ
4) พอน้ำงวด ก็ต้องคนอย่างแข็งขัน เบาไฟลงนิดหน่อย
5) คนจนเห็นว่างวดได้ที่จะเห็นจาก น้ำมันและความหวานจากกุนเชียงที่ออกมา ก็จะเคลือบกุนเชียงจนมันแผล่บ สวยงามและอร่อยมาก…ขอบอกกกกก…

Tuesday, January 29, 2008

ยางแบน

วันนี้ผ่านไปด้วยดี หลังจากที่วันก่อนแย่จริงๆ จะออกไปรับลูก จึงได้พบว่ารถ “เจือก“ ยางแบนแต๋ 1 วง เซ็งๆๆๆๆๆ งง คิดไม่ออก สุดท้ายก็ค่อยคิดออก ว่าทำอะไรก่อนดี “แพนิค แอทแทร็ก“ อยู่เรื่อยเชียว โทรไปโรงเรียน ให้เค้าเอาลูกไปฝากที่เดย์แคร์ให้ก่อน โทรหาเมแกน (น้องปั๋ว) ให้ไปรับลูกให้หน่อย ปรากฏว่าเค้ายังอยู่ที่เมืองถัดไป ก็เกิดการโทรกันให้วุ่น-ว่าใครอยู่ใกล้และสามารถไปรับลูกได้เร็วที่สุด สุดท้ายไม่สามารถติดต่อใครได้ เมแกนมันก็เลยต้องมารีบกลับมารับลูกให้ พอมันมาถึงบ้านกัน จอนนี่ (แฟนของเมแกน) มาด้วย มันมาช่วยเปลี่ยนยางอะไหล่ (ยางโดนัทวงจิ๋ว) ให้ พอแยกย้ายกันไปก็รีบหอบลูกตาหูเหลือกไปร้านยาง ไปถึงก็..เอ้า…จัดการ นี่ๆๆๆๆ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไส้กรอง ด้วยเลย พอปริ้นเต้อร์ ปริ้น แกรกๆๆๆ แมม เซ็นตรงนี้เลย แมมมมม…… คุ้ยหาเป๋าตังค์ใหญ่ หาไม่พบ ต้องขอโทษขออภัยเค้า ตังค์มิมี ลาละนะ แล้วก็ขับเคลื่อนยางโดนัทกลับบ้านไป เดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่จ้าาาาา

กลับมาบ้าน เจอเป๋าตังค์ค่อยโล่งอกหน่อย เลยทำเนื้อทอดกระเทียมพริกไทยกับหุงข้าวเหนียวขุนลูกๆ และตัวเอง แล้วก็ไม่รู้เป็น “อ่า“ ไร นอนไม่หลับทั้งคืน ตีสามเลยแอบไปลากเนื้อกับข้าวเหนียวมาฟาดคนเดียวอีกรอบ แล้วก็ตาค้างจนเช้า เอารถพ่อมันไปส่งลูกที่โรงเรียน กลับถึงบ้านก็ไม่ง่วงอีก พยายามนอนให้หลับ ไอ้ก๊อตตี้ก็ปล้ำล้วงควักนมตลอดเวลา เลยไม่ต้องหลับ


พอบ่ายโมงก็เอารถออกไปจัดการต่างๆ ให้เสร็จ นั่งรอที่ร้านยางกะไอ้ลิงตัวเล็ก แทบคลั่งให้ได้ มันไม่อยู่เฉยเลย นอนก็ไม่ได้นอน วิ่งตามมันอีก น่าจะผอมน้อออออ…. พอบ่ายสองรถเสร็จ เลยไปใช้เน็ทที่ร้านโดนัทของเจนนี่ เพื่อนชาวเขมร โหลดรูปสำหรับรายงานให้ลูก จากนั้นก็ไปรับหนูดี แล้วก็ไปซื้อเบอริโต้ไปกินที่บ้าน


ถึงบ้านก็อบเค้กกล้วยหอม (จากกล่อง) ผัดกระหล่ำปลีใส่หมูให้ลูกกิน เบบี้มันก็กินนิดหน่อย เซ็งๆๆๆ ลูกกินยากจัง สู้แม่ก็ไม่ได้ ฟาดเรียบทุกอย่างที่ขวางหน้า ถึงหุ่นงามเช่นนี้ตลอดมา

มาดูไว้ท์บอร์ดหน้าตู้เย็นกัน นังหนูดีมันเขียนว่าแม่มัน แล้วพ่อมันก็มาแก้ แถมโดนพ่อโทรมาต่อว่าเรื่องชอบว่าแม่ และ ผลการเรียน เห็นหน้าจ๋อยๆ 5555 จากที่เคยเป็นเด็กเรียนดี เอ-รวด พอขึ้นปอสี่ ดูกันเอาเองเถอะค้าาาาาาา…..

My World

หญิงไทย ใจงาม ย้ายถิ้นฐานมาอยู่ไกลบ้านเกิดเมืองนอน ตั้งแต่กลางปี 2000 ก็เพราะต้องตามหัวใจมาไกลสุดขอบฟ้าอีกด้าน โดยลากเรือพ่วงลำจิ๋ว (ตอนนั้น-ส่วนตอนนี้ก็น้องๆ ไททานิคแล้ว) ชีวิต ครอบครัว คู่ชีวิต หน้าที่การงาน ตลอดสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ก็มีสุข มีทุกข์ มีสุก มีดิบ มีไหม้ มีอันเด้อคุ้ก คละเคล้ากันไป เรื่องหวานๆ คงไม่มีให้เผยแพร่ให้โลกได้รู้เท่าไหร่ เพราะเป็นคนไม่หวาน และไม่เปรี้ยว ออกจะถึกๆ หน่อย และอ้วนมาก ทำเปรี้ยว ทำเก๋ คงไม่งาม

ด้วยที่เป็นคนเก็บความลับไม่เก่ง พื้นที่เซฟสำหรับเก็บความลับมันเล็กไปนิดมั๊ง มันเลยชอบพรั่งพรูออกมาให้ใครๆ ได้รู้ไส้รู้พุงไปหมด เนื่องจากเป็นคนเปิดเผย หลายครั้งก็เลยต้องเจ็บ เพราะเสแสร้งน้อยไปหน่อย พอสุข สนุกสนาน ก็แฮ้ปปี้ ยี้…ฮ่า พอทุกข์ก็หน้าบูด ปากแบะ คุยกะใครไม่ได้ แยกแยะอารมณ์ไม่ออก บางทีถึงกับร้องไห้โฮไม่อายใคร จึงเป็นที่รักที่ชังของคนรอบๆ ตัว เรื่อยมา

ก็หวังว่าจะมาทำบล๊อก เพื่อบอกเล่าความในใจ ความเป็นมาเป็นไป ชีวิต ครอบครัว และหัวใจ (หัวใจก็คือ ลูก 2 คน ถ้าไม่มีหัวใจ ชีวิตก็หาไม่) สามี และวันๆ ทำอะไรที่เป็นสาระบ้าง (คงไม่ได้เขียนบล๊อกบ่อยๆ แน่เลย เพราะออกเป็นเป็นคนไร้สาระ-คดี มากกว่า - อันนี้ได้เขียนวันละหลายๆ รอบแน่เลย)

เริ่มเลยแล้วกัน พล่ามวกวนมาเยอะ คือ เป็นคนโคราช เกิดโคราช ออกจากโคราช ติดตามพ่อที่รับราชการ ย้าย ไปหลายจังหวัดเหนือ ใต้ ออก ตก ทั่วประเทศไทย มาจบตรี ที่ กทม. กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ชีวิตราบๆ เรียบๆ เรียนจบทำงาน ทำงาน มีแฟน อกหัก เค้าหักเรา เราหักเค้า ผัดๆ กันไป หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า ถอยหลัง เดินหน้า สาระวันเตี้ยลง กระโดดข้ามรั้ว ตกบันได เป็นคนโปรดของนาย เป็นคนที่บอสชัง มีครบทุกรสชาด มีโอกาสได้ทำงานบริษัทระดับเวร์ลด์คลาสหลายแห่ง (อันนี้ภูมิใจและถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ในชีวิต)


ก็มาถึงคราวกำเหนิดกุมารี นามว่า “รมณีย์“ หรือ รอมมี่ หรือ หนูดี หรือ ดี๊ดี หรือ ตุ๊มเหม่ง ฯลฯ สารพัดชื่อ ขึ้นอยู่ว่าใครเรียก ที่เด็ดสุดก็คือ ป้าอ้วน (แม่จ๋า) เรียกมันว่า “อีเตี้ย“ จบเรื่องชื่อ เป็นว่าเมื่อเป็นซิงเกิ้ลมัม วิถีชีวิตก็ยากขึ้นนิดนึง ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมรอบข้าง (ไม่ขอเล่าที่มาของการเป็นแม่มือเดี่ยว) บังเอิญได้มาพบอุบัติเหตุรักกับชายวัยก้ำกึ่ง “ฉะลา และ ฉะกัน“ นามว่า ไอ้ก๊อต เมื่อความรักท่วมท้น ไม่สามารถทนอยู่ห่างไกลกันได้อีกต่อไปก็ตัดสินใจตกลงรับคำจะแต่งงานกับเขาและย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่ ทุ่งกุลาฯ อเมริกาสถาน

ชีวิตในเมืองเล็กๆ ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ไม่ได้สวยงามเหมือนในหนัง และไม่ต่างจากตำบลเล็กๆ ในเมืองไทย ผู้คนนับว่า “บ้านนอก“ อย่างแรง หูตาไม่กว้างไกล แถมเมืองที่อยู่ “มาจอริตี้“ เป็น ชาวเม๊กซิกันที่เข้าเมืองผิดกฏหมาย ส่วนคนขาวและคนดำเป็น “ไมนอริตี้"มานานหลายทศวรรษแล้ว ไปไหนมาไหนก็จะได้เป็นได้ยินภาษาสแปนิชมากกว่าภาษาอังกฤษ เนื่องจากอายุที่มากโขก็เลยไม่มีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ภาษาสแปนิช เป็นภาษาที่ 3 เพราะเมมโมรี่กับฮาร์ดไดร๊ฟ์ เต็มและพุพังมากแล้ว ก็อยู่ๆ กันไป ชีวิตดำเนินต่อไปได้ ไม่ยากลำบากอะไรนัก เป็นแม่บ้านนักช้อป นักซิ่ง ไม่ได้ทำงานนอกบ้าน บางทีก็เบื่อ บางทีก็
"ดีแฮะ"

ชีวิตครอบครัว 2 ปีแรกก็ไม่ง่ายอย่างที่ฝันไว้ แต่เราก็ช่วยกันพาเรือชีวิตฝ่าฟันมรสุมมาได้ ทุกวันนี้นับว่าเราเป็นครอบครัวที่มีความสุขมากตามอัตภาพ ไปไหนไปกัน เรามีความสุขที่เราอยู่กันพร้อมหน้า มีบ้านอยู่ มีข้าวกินทุกวัน มีหนี้สินตามสมัยนิยม และสามีตามใจ จนเมื่อ ตุลาคม 2006 ครอบครัวของเรามีสมาชิกงอกมาอีกหน่อนึง เป็นหนุ่มน้อยนาม “ก๊อตตี้“ ทุกคนแฮ้ปปี้ ถึงแม้จะทำให้ “ฝืด“ ขึ้นอีกนิดนึงอีกพักใหญ่ๆ สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวของเรา มีบุคลิก ลักษณะนิสัย ประหลาดต่างๆ กันออกไป พ่อบ้าน เสียงดัง หูตึง โหวกเหวก แต่ใจดี (จุ๊ๆๆ ใจอ่อนด้วย-รู้จุดอ่อนซะแล้ว) ลูกสาว เป็น นางเอกของบ้าน เจ้าอารมณ์ เจ้าน้ำตา เจ้าปัญหา พ่อแม่ให้ฉายาว่า Drama Queen เจ้าลูกชายยังดูไม่ค่อยอออก แต่พอเห็นแววว่าน่าจะดื้อไม่น้อย ส่วนแม่ เป็นนางร้าย พ่อลูกต่างขนานนามให้ ว่า Queen of Mean แต่รักครอบครัวมากๆ นะคะ “ขอบอกกกกก….“

TheIngles-01