Wednesday, December 30, 2009

Happy New Year 2010

happy_new_year_01

ปีใหม่นี้ ขอให้ทุกคน มีแต่ความสุขกาย สุขใจ ไร้โรคภัยใดๆ เบียดเบียน และร่ำรวยเงินทองกันโดยถ้วนหน้า เถิ้ดดดดดด…..

happy-new-year

Wishing you good times, good health, good cheer,

and a very Happy New Year !

Happy-New-Year-2010-latest-pic

Tuesday, December 22, 2009

Meatballs ผัดเปรี้ยวหวาน + สลัดๆ ไม่ใช่โจรสลัด

friends_at_iida_happy-holidays

ลูกๆ กินยาก วันๆ ไม่รู้จะทำอะไรให้ลูกกิน แล้วช่วงหลังๆ มานี้ ก็มีให้แต๊ดแตร๋ออกไปโน่นมานี่ไม่ได้หยุด ลูกๆ ฝากท้องไว้กับแม๊คโดเน่าบ่อยเหลือเกิน แม่ที่แสนดีรู้สึก guilt นิดๆ หาเวลาอยู่บ้านไม่ไปไหน แล้วทำอะไรให้ลูกๆ กินได้ยากจรงิๆ เพราะพอกลับเข้าบ้าน…โรคประจำตัวก็กำเริบหนัก “โรคขี้เกียจ” น่ะ 5555 อย่างเมื่อวาน…ทำเมนู “น่าอาย” อีก ต้มมาม่าใส่ไข่ ใส่ลูกชิ้นหมู โยนผักสลัดลงไปถุงนึง อีรอมกะไอ้ตี้กินกันดีเชียว พอเวลาอาหารที่แม่มันบรรจงและตั้งใจทำสุดฝีมือ+สุดหัวใจ มันไม่แตะกันซะคำ อยากจะเอา “ยี” หัว พวกมันจริงๆ

page-498

ไอ้ตี้มันเป็นคนไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ ก็เลยต้องหาวิธีหลอกล่อให้มันกินเนื้อสัตว์ วันนี้ก็เลยลากเอา Turkey Meatballs ที่ขังไว้ในฟรีซเซ่อร์นานแล้ว…เอาออกมาปลอมตัวแปลงโฉม วิธีที่อิชั้นทำก็ง่ายๆ แหละ เตรียมเครื่องเคราเหมือนผัดเปรี้ยวหวาน เรียกว่ามีอะไรก็โยนๆ ลงไป วันนี้มี แตงกวา พริกหวาน หอมใหญ่ มะเขือเทศ เห็ดหอมสด แครอท แล้วก็ไม่ลืมเติมซ๊อสมะเขือเทศข้นลงไปซะหน่อย พอจะเริ่มลงมือผัด ควานหาเส้นสปาเกตตี้ หรือ มักกะโรนีข้องอ ไม่เจอ..ปวดเฮดเลย แต่โชคดีเจอ Mostaccioli กล่องนึง (ขนาดและรูปร่างเหมือน Penne แหละ เพียงแต่ผิวเรียบ ส่วนเพนเน่ ผิวจะเป็นลายริ้วๆ) ปกติจะซื้อเส้นพาสต้าเก็บไว้ตลอด และซื้อเก็บต่างๆ รูปแบบด้วย แปลกๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เอาไว้ล่อหลอกให้ลูกกิน 555 สรุปว่าผัดซ้อสเปรี้ยวหวานเสร็จก็ราดไปบนไอ้เส้น “มุสตาชิโอลี” ที่ต้มเตรียมไว้ จบไปมื้อนึง

page-501

พักนี้ “ฮิต” ทานสลัด เพราะระบบขับถ่ายชักแย่ แต่มาดูน้ำสลัดของอิชั้นกันดีกว่า เป็นคนไม่กลัวเรื่องน้ำสลัดข้นๆ มันๆ แต่อย่างใด จะ heavy หรือ light ได้หมด ที่อ้วนเนี่ยไม่เกี่ยวกับน้ำสลัดหรอกค่ะ แต่เป็นเพราะกินแบบยัดฟูกยัดหมอนมากกว่า 5555 มาดู มาดู น้ำสลัดของอิชั้นดีกว่า เรียงตามลำดับความชอบเลยนะ (แม่บ้านหลังยาว..ไม่ตีเดรสซิ่งสดๆ ร๊อกกก….555 เป็นแม่บ้านขวดๆ นานแล้วจ้า)

1) Ken's Steak House Raspberry Walnut Vinaigrette Dressing (Lite) อันนี้เป็นอันดับ 1 หมดไป 2 ขวดแล้ว จริงๆ มีเดรสซิ่งในดวงใจ Marie's Honey Mustard Dressing ครองแช้มป์มาหลายปี พออิชั้นได้ลองของพี่เคน….ขวดนี้ อูย… นังมารีตกกระป๋องไปเลย พี่เคนเปรี้ยวๆ หวานๆ ทำให้กินสลัดได้เป็นกะมังๆ วันละหลายรอบเลยเชียว

2) Marie's Honey Dijon Dressing ขวดนี้คล้ายๆ Marie's Honey Mustard Dressing แต่ “ใส” กว่า เวลาจะรับทานเดรสซิ่งอันนี้มันจะป็นเรื่องเป็นราวกว่าไอ้อันดับหนึ่ง เติมไข่ต้มลงไปคลุกๆ ด้วย อืม…หย่อย

3) Kraft Light Raspberry Vinaigrette อันนี้ก็คล้ายๆ อันที่ 1 แต่ อันนี้เปรี้ยวโดดๆ พอทดแทนกันได้ ซื้อมาตอนที่ Ken's หมด..แล้วหาซื้อแถวๆ นี้ไม่ได้

4) Wishbone Bountiful’s Berry Delight ไอ้ขวดนี้กะไอ้ขวดที่ 3 นี่สูสีเลยนะ เปรี้ยวๆ หวานๆ หวานกว่าของคร๊าฟท์ ลังเลว่าจะให้ขวดนี้อันดับ 3 ดีมั๊ย 555 เป็นว่ามีอันดับ 3 อยู่ 2 ขวดละกัน

5) Kraft Creamy Italian Salad Dressing จริงๆ ไม่โปรดอิตาเลี่ยนเดรสซิ่งเท่าไหร่ แต่อีซะมีเค้าชอบ คือ รับทานได้-แต่ไม่โปรดปรานมากมาย พอมาลองอีครีมมี่นี่แล้ว อืม…อร่อยเหมือนกันนะ

6) อันนี้คล้ายๆ ครีมสลัดแบบไทยๆ Kraft Coleslaw Dressing จริงๆ ไม่ใช่เดรสซิ่งที่โปรดเลย แต่เป็นเดรสซิ่งที่เอาไว้ขยำผักทำโคสะลอว์ เอาไว้ทานแนมเวลาทำอาหารที่เน้นพวกเนื้อๆ แบบสะเต๊ก เนื้อย่าง

จริงๆ มีเดรสซิ่งอีกอันที่ลูก (อิรอม) กะอีก๊อตชอบ มันคือ Ranch….ลืมถ่ายรูปมา 555 แต่อิชั้น ไม่ช้อบบบบบ… ไม่ชอบ มีอันต้องจำใจรับทานหลายครั้งหลายหน รสชาติเหมือน “อ้วก” 5555 จริงๆ นะ ถ้าใครชอบก็ขออภัย เวลาไปกินอาหารนอกบ้าน ก็จะรีเควส Thousand Island เป็นอันดับแรก ถ้าที่ไหนไม่มีก็จะรีเควส Italian ไปให้มันจบๆ

page-502

ตานี้ก็มาดูเครื่องโปรยสลัดของอิชั้น เยอะมากนะคะ…ขอบอก ไม่รู้เค้าเรียกอะไร เครื่องโรย เครื่องโปรย เครื่องปรุง 555 แต่อะไรที่เค้าชอบกันเป็นสากล….อิชั้นมักจะไม่ชอบ 5555 มันคือ ครูทานส์ (A crouton is a small piece of sautéed or rebaked bread, often cubed and seasoned, that is used to add texture and flavor to salads, notably the Caesar salad, as an accompaniment to soups, or eaten as a snack food. The word crouton is derived from the French croûton, itself derived from croûte, meaning "crust".) ไม่ชอบเลยแหละ ไอ้เต๋าหนมปังกรอบๆ เนี่ย บางทีซีซันนิ่งมาเยอะ ยิ่งไม่ถูกปากถูกใจอิชั้นหนักเข้าไปอีก ปกติเป็นคนไม่เค็ม 5555 คือ ไม่ทานเค็มน่ะค่ะ เป็นหญิงจืด อะไรที่เค็มจั๊ดนัก…ไม่ไหวเด้อ พอดีไปเจอไอ้ถั่วรวมมิตรถุงๆ ในรูปเข้า กำมาโปรยๆ ใส่สลัด ทีละหลายๆ กำมือ สาดเบค่อนจากไอ้ถุงดำๆ นั่นลงไปหน่อยนึง ราดน้ำสลัดที่ถูกใจอีกโครมใหญ่ ยัมๆๆๆๆๆ ไอ้เบค่อนถุงนี่เป็นเบค่อนจริงๆ นะคะ มีขายหลากหลายยี่ห้อ แต่ยี่ห้อนี้เค็มน้อยหน่อย เบค่อนพวกนี้เป็นเศษเบค่อนจริงๆ ไม่เหมือน Bacon bits ซึ่งเป็นแป้งทอดกรอบรสเบค่อน มาถึงผักสลัด อิชั้นชอบโรเมน ไม่ชอบผักกาดแก้ว-iceberg lettuce หรือผักที่รสชาติคล้ายกันเลย สลัดถุงๆ ที่เห้นในรูปนั่นคือสลัดที่อิชั้นซื้อประจำ ซื้อทีละ 3-4 ถุงเลย ราคาถุงละ 1 เหรียญเท่านั้น ทำมาม่าให้ลูก ทำยำรสจัดทั้งหลาย ก็ใช้สลัดถุงนี่แหละค่ะ จบเรื่องโจรสลัด 555

page-499

เมื่อวานไปซื้อกับข้าวกับปลา เตรียมทำคริสต์มาสดินเน่อร์ (ไม่ทำไก่งวงแล้ว 5555 เข็ดซะ 555) พอดีเจอทีรามิสุ โหยอยากทานอยู่นานมากแล้ว จริงๆ มีเจ้าประจำที่มอลล์…อร่อยมาก (เจ้าดังๆ ที่บางกอก…หลบไปได้เลย 555) พอเจอไอ้กล่องนี้เข้าก็รีบลากกลับมาบ้าน ร้อนรนมือไม้สั่น พอใส่ปากคำแรกก็ เอ้อ…. It’s just OK not wowww…woo hoo…แต่อย่างใดค่ะ พ.ด.ด. เท่านั้น คงไม่ซื้ออีกแล้วล่ะ 12.99 เก็บไปซื้อ French Bakery เจ้าประจำดีกว่า…..

x6a00d83453a73169e2010536bb2c3c970c-800wi

ปล. ปีนี้บ้านเราไม่ได้ตั้งต้นคริสต์มาสค่ะ เพราะว่ามีแต่เรื่องยุ่งๆ hectic ตลอด เลยตกลงกับลูกและซะมีว่าปีนี้ “งด” ของขวัญของลูกๆ ก็ไม่ได้มีมากมาย เอากองๆ ไว้หน้าทีวีแหละ 5555 ไอ้ต้นในรูปข้างบน….เห็นขำดีเลยเอามาแปะ…แบ่งๆ กันขำ 555

ยังไงก็ขออวยพรให้ทุกๆ ท่าน สุขกาย สุขใจ สมหวังในทุกสิ่ง ตลอดปีนี้ ปีหน้า ชาตินี้ ชาติหน้า เลยนะคะ ซ้า….ตุ๊

x3135388516_4164f87158

Wednesday, December 16, 2009

พันธุ์อะไรในปากเธอ

ในที่สุดก็มีคนแต่งเพลงให้สามีสุดที่รักของอิชั้น …ถูกใจ ถูกใจม๊ากกกก…..

เชิญฟังและขับร้องกันตามสะดวกค่ะ

S! Radio
Slim boy ก๊วนกวน
เพลง พันธุ์อะไรในปากเธอ (Slim boy)
ศิลปิน Slim Boy ก๊วนกวน
อัลบั้ม Slim boy ก๊วนกวน
ดูเนื้อเพลงคัดลอกโค้ดเพลงนี้

เพลง : พันธุ์อะไรในปากเธอ
อัลบั้ม : Music Airline
ศิลปิน : Slimboy Ringtone

อยากรู้พันธุ์อะไรเลี้ยงไว้ในปากเธอ

เชาเชา ชิวาวา นี่มันพันธุ์อะไรกันนะ

ปักกิ่งหรือไฮยีน่าถึงพูดจาไม่เข้าหู

บูลล์ด๊อก บ๊อกเซอร์ ปากเธอต้องอ้าดู

อยากรู้พันธุ์อะไรเลี้ยงไว้ในปากเธอ

เกรทเดน อัลเซเชี่ยน พูเดิ้ล

ปอมเมอเรเนี่ยน โดเบอร์แมน หรือร๊อตไวเลอร์

ปากเธอนะพันธุ์ไหน

อาจเป็นบูลล์เทอร์เรีย ปากเสียได้เรื่อยไป

อยากรู้พันธุ์อะไรเลี้ยงไว้ในปากเธอ

พันธุ์ทางหรือพันธุ์แท้ ชอบมากระแนะกระแหน

หลังอานหรือว่าบางแก้ว อย่าแซวกันได้ไหม

ปากเธอมันวอนเห่าหอนได้เรื่อยไป

อยากรู้พันธุ์อะไรเลี้ยงไว้ในปากเธอ

ปากเธอมันวอน สักวันต้องตายไว

อยากรู้พันธุ์อะไร เลี้ยงไว้ในปากเธอ

Housework-01

Friday, December 11, 2009

หนาว หนาว หนาว

page-491

thermometer

หลังจากเจอวิกฤติ Hectic มาตลอด 2-3 สัปดาห์ จริงๆ มันก็ยังไม่ซ่างซาไปเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่เบื่อแระ มาคุยเรื่องหนาวๆ เย็นๆ กันดีกว่า ที่ร้อนรุ่มกลุ้มใจเก็บไว้ก่อน เดี๋ยวรวบรวมสติ-สะตังได้จะมาเล่าให้ฟังค่ะ ตอนนี้แถวๆ นี้หนาวมาก หนาวอิ๊บอ๋าย ใครที่อยู่ตรงไหนของโลกแล้วมาบอก เชอะ ไม่เห็นหนาวเท่าแถวบ้านชั้นเลย บ้านชั้นหิมะท่วมขาวโพลน หนาตั้ง 30 ศอก ฯลฯ ต้องเข้าใจนะคะ บ้านแกก็คือบ้านแก ไม่ใช่บ้านช๊านนนน… แล้วคนเราทนทานหนาว ร้อน เย็น แฉะ ได้ไม่เท่ากัน ไม่ใช่โรคจิต แบบ… บ้านใครหนาวกว่าชนะ บ้านใครหิมะเยอะกว่าชนะ เชิญบ้าไปคนเดียวเถอะ 555 (แต่คนโรคจิตแบบนี้มีเยอะนะคะ 555)

เป็นว่าที่บ้านเราหนาวมากค่ะ 5555 กลางวันก็ประมาณ 40°F ต้นๆ พอเย็นๆ ตกค่ำก็หนาวไปอีกหน่อยนึงประมาณ 30°F ต้นๆ หนักหนาหน่อยก็ตอนเช้ามืดไปถึง 8-9 โมงเช้าก็ประมาณ 25-29°F ตอนนี้ก็เลยมี Alert ตลอดเกี่ยวกับ Freez Advisory ก่อนหน้านี้ก็แค่เตือนเรื่อง Frost ก็ห่วงต้น หมากรากไม้จะโดนน้ำแข็งเกาะหนาวเฉาตายกันไปซะหมด หลังๆ มาเป็น ฟรีซแล้ว เป็นห่วงแมวมาก หาอีนิ๊งหน่องแมวสุดที่รักไม่เจอมา 2 วันแล้ว (รูปทั้งหมดถ่ายจากกล้องป๋องแป๋งที่มีอยู่ตัวใหม่ เจ้า Canon PowerShot SD780IS 12MP แดงแปร๊ดดดด…. 555 ไม่มีกล้องโปรๆ ใช้กะใครเค้าหรอกค่ะคู้นนนน…)

page-492

ตอนเช้าก็ต้องออกไปอุ่นรถทิ้งไว้ซัก 10 นาที เพราะรถน้ำแข็งจับ พอเข้าไปในรถก็แทบหนาวตาย ยะเยือกมากๆ ขวดน้ำทิ้งไว้ในรถก็แข็งโป้กเป็นน้ำแข็งทั้งขวด จนบ่าย-เย็นก็ยังละลายไม่หมด ตกค่ำก็ทิ้งแข็งโป้กต่อไปอีก 5555 สนามหญ้า (เต็มไปด้วยใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นมาเต็ม) ก็โดนน้ำแข็งเกาะหมด บน driveway ก็น้ำแข็งเกาะเพียบ เดินต้องระวังเดี๋ยวลื่นหัวฟาดพื้นตาย ช้าน…ตาย…ม่าย…ด้ายยยย….ลูกยังเล็กเฟ้ย แล้วถ้าหากหิมะตกแถบนี้จริงๆ จะเดือดร้อนกันมาก เพราะคนแถวนี้ไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตกับหิมะ ถนนหนทาง โซ่ใส่ล้อรถยนต์ก็ไม่มีกันทุกบ้าน บ้านอิชั้นไม่มีซักอัน 555 แค่ขับรถฝ่าทะเลหมอกให้รอดชีวิตไปตลอดซีซั่นก็โชคดีมากแล้ว หรือไม่ไปจอย pile-up ร้อยคันกับใครก็บุญอักโขมากเข้าไปอีก จำได้ว่าปีก่อนประกาศว่าจะมีหิมะ อิชั้นก็ตื่นตูมไปกะเค้า แจ้นไปซื้อสโนว์แจ๊คเก๊ตให้ลูก 5555 สรุปมันเป็นแค่ฝอยๆ ลอยมาตอนดึกๆ นิดหน่อยแล้วก็ละลายหายไป ไม่มีกี่คนนักหรอกที่ได้เห็น แต่บ้านผีปอปได้เห็นกะเค้าหนอยนึง 555 จริงๆ มันเคยมีหิมะตกแถบนี้เป็นระยะๆ 10-15 ปีก่อนโน้น เรียกว่าเดือดร้อนไปทั่ว คนแถวๆ นี้จะไปเล่นสกี กีฬาปุยหิมะทั้งหลาย ก็ขับรถขึ้นเขาไปซักชั่วโมงก็ถึงสกีรีสอร์ตแล้ว ส่วนอิชั้นคนยากก็จะพาลูกๆ ขับรถขึ้นเขาไปหน่อยนึง เจอข้างทางตรงไหนให้ลูกๆ เล่นตรงนั้น พอเล่นเป็นโคลนก็ขับรถหาที่ทำเลงามๆ หิมะหนาๆ เล่นกันใหม่ 5555 ฟรีค่ะ เลอะเทอะกันพองามก็บึ่งกลับบ้านมาแช่น้ำอุ่นๆ สบายใจแฮ … มีแม่จนก็สนุกแบบนี้แหละค่าาาา…

page-493

โชคดีที่แถวๆ นี้ไม่มีหิมะ ถึงจะหนาวไม่แพ้ใครก็เหอะ นึกไม่ออกเลยถ้ามีหิมะเหมือนที่เห็นตามข่าว หนัง หรือรูปต่างๆ อิช้านจะทำยังไง เพราะขี้เกียจทั้งผัวทั้งเมีย ต้องโกยหิมะเหมือนที่อื่นๆ ตายแน่ๆ สงสัยจำศีลเป็นหมีขั้วโลก ไม่ไปไหนแน่ๆ รวยตายเลย 5555 เพราะที่ที่เราอยู่เป็นแวลเล่ย์ หรือก้นกระทะนั่นเอง เป็นแอ่งเป็นอ่างใหญ่ยักษ์ ล้อมรอบด้วยเทือกเขา ด้านนึงเป็น Sierra Nevada (ด้านขวามือที่สีส้มๆ น้ำตาลๆ นั่นแหละ แคลิฟอร์เนียนี่ใหญ่กว่าประเทศไทยนิดหน่อยค่ะ) ส่วนไอ้ด้านริมทะเลเป็นเทือกเขาเล็กๆ น้อยๆ ต่อกัน เรียกอะไรไม่รู้ 5555 แต่อยากโชว์ว่าเราอยู่ในอ่าง 5555 ปกติพออากาศเริ่มเย็นๆ ปลาย Fall หรือประมาณปลายตุลา ต้นพฤศจิกา ไปจนถึงปลายๆ มกรา หรือ ต้นๆ กุมพาเลยทีเดียว ที่คนละแวกนี้ (กลางๆ แวลเล่ย์) ก็แย่แล้วกับการผจญหมอกนรก ที่เรียกว่าหมอกนรกเพราะมันนรกจริงๆ นะคะ เมืองในหมอก เมืองสามหมอก แม่ฮ่องสอน นั่นอนุบาลมากๆ ค่ะ (วันหลังมาเล่าเรื่องหมอกนรกดีกว่า 5555) หมอกมันหนามาก หนักมาก มีหลายแบบ เป็นกำแพงหนา เป็นหมอกแล้วมีละอองน้ำ mist เดินเปียกเหมือนตากฝนเลยแหละ ฯลฯ บางวันเค้าบอกว่าเป็น Low Cloud พัดผ่านเข้ามาจากทะเลและติดกับดักโดนเซียร่าเนวาด้ากันไว้ ไปไหนไม่ได้เลยนั่งอ้วนอยู่ในแวลเล่ย์ไม่ไปไหน อิชั้นก็เลยกลายเป็นนางฟ้านางสวรรค์ใช้ชีวิตกลางม่านเมฆ 555 หน้าหนาวที่นี่ก็หนาวจนตับหดเลย พอหน้าร้อนไอ้ก้นกระทะก็ร้อนซะตับแหกเลยเหมือนกัน (กะทะ หรือ กระทะ วะเนี่ย สะกดไม่ถูก….5555)

california-map

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เค้ามีคริสต์มาสพาเหรดที่ดาวน์ทาวน์ สิ่งบันเทิงรื่นเริงใจแถวนี้ไม่มีอะไรมากมาย เพราะเป็นเมืองเล็กๆ พาเหรดแค่นี้ก็แห่ไปดูกันไปค่อนเมือง จากประสบการณ์ทุกๆ ปี ไปล่าช้าหน่อยก็ไม่มีที่จะแทรกเข้าไปนั่งหรือโผล่หัวเข้าไปดู ปีนี้ก็เลยรีบไปจับจองฟุตบาทแต่ไก่โห่ 5555 โห่จริงๆ เพราะไม่ได้เตรียมอะไรไปรองนั่ง ตูดเย็นเจี๊ยบเลย 5555 แล้วโห่ไปเร็วรอซะเซ็งเลย นั่งจนตูดชาได้ชั่วโมงครึ่งขบวนพาเหรดเค้าถึงได้เริ่มแห่มากัน ไอ้พวกเอาของเล่นไฟแล่บต่างๆ มาเดินเร่ขาย ก็ขยันเดินผ่านไปผ่านมาจริงๆ ลูกๆ ก็งอแงงี่เง่าอยากได้ อยากซื้อไปหมด แล้วแพงมาก แพงจนอุบาทว์ ไอ้หลอดๆ ที่หักแล้วเรืองแสงทำเป็นสร้อยคอนั่น เส้นละ 3 เหรียญ จะบ้าเหรอ ปกติ 3 เส้นเหรียญนึง เชี่ยเน๊าะ แล้วเดินจริ๊งงง… มากมายหลายเจ้าด้วยนะ อยากจะเอาเท้าไปขัดขาให้มันล้มป้าบบบบ…ตรงหน้าซะจริงๆ คืนนั้นก็หนาวเหน็บมากๆ ขอบอก ไอ้ตี้โดนแม่ห่อไว้ตามเคย ปล่อยให้เดินเพ่นพ่านไม่ไหว แม่มันไม่มีแรงวิ่งไล่ จับมัดไว้ให้เป็น Dr. Hannibal Lecter ตามระเบียบ (ไอ้หูมิกกี้สีฟ้านั่น 5 เหรียญเชียวนะคะ ป๋องแป๋งสุดเดชด้วย รอมมี่อยากได้ งี่เง่าให้แม่ซื้อ พอซื้อให้ดันไม่ใส่ซะนี่ อายเค้าค่ะ น่าตื้บมากลูกชั้น)

page-495

พาเหรดประดับไฟที่นี่มีแค่จิ๋วติ๋วจิ๊ดนึงแหละ หน่วยงานต่างๆ โรงเรียนก็พากันประดับตกแต่ง floats ตามประดามี น่ารักน่าเอ็นดูตามประสาเมืองเล็กๆ รถขยะ รถไปรษณีย์ แมงกะไซ ฯลฯ มากันเยอะแยะ บางอันก็แต่งซะสุดฝีมือ บางอันมีไฟหลากสีกระพริบมาแค่สายเดียว แบบอิรถไปรษณีย์ (ยังก๊ะโลงอนาถา 55555)

page-496

ถ่ายรูปไปได้ไม่เท่าไหร่กล้องก็แบตหมด อดเอารูปแปลกๆ มาอวด 555 ไม่มีอะไรแปลกหรอก ก็แค่วงโยธวาทิศของไฮสคูลประจำตำบลน่ะ เค้ามีไอ้พวกเด็กสาวรำธง เด็กๆ ที่เป่าปี่ตีกลองก็เอาไฟกระพริบหลากสีพันตัวเดินมาเป็นแถวน่ารักดี แต่พวกรำธงน่ะ ใส่เสื้อผ้ายืดกำมะหยี่รัดรูป บางคนก็สูงยาวระหง..น่ามอง บางคนก็อ้วนตุ๊บเป็นลอน..น่าเห็นใจ (คนอ้วนย่อมเข้าใจคนอ้วนสิ) วัสดุที่สวมใส่ก็ดูเย็นเยือก ดั๊นนน… เสือกไม่มีแขนอีก ครูบาอาจารย์นี่บ้าเน๊าะ สงสารเด็กๆ เพราะหนาวมากกกกกก…….

page-497

ดูไอ้แทรกเต้อร์ Harvester มโหฬารมากๆ ดูจากคนบนรถเทียบกับล้อ มหึมาจริงๆ อยู่แถวๆ นี้ได้เห็นพวกเครื่องจักรเครื่องยนตร์แปลกประหลาดบนท้องถนนหรือในทุ่งบ่อยๆ รูปร่างหน้าตาหลายๆ อย่าง ดูๆ ไปเหมือนอิชั้นอยู่ในซีนสตาร์วอร์ 5555 สรุปคืนนั้นก็พาลูกอยู่ดูจนจบ กลับบ้านแวะซื้อแม๊คโดเน่าให้ลูกกิน แล้วก็ไม่ลืมซื้อ “แม๊ค-ริบ” ให้ตัวเอง ตอนนี้ McDonald's brought back the McRib sandwich อิชั้นดีใจกว่าใครๆ เลยเชียว เพราะเป็นเมนูโปรดจากร้านพี่เน่าเค้า เมื่อปีกลายเจือกประกาศ McDonald's announced the 'Farewell Tour' of the McRib sandwich อิชั้นโมโหเป็นอย่างมากกกก….. 5555 ผู้คนเค้าก็ตังเว๊บไซ้ต์ให้คนช่วยกันเข้าไปโหวตไม่ให้แม๊คโดเน่ายกเลิกเมนูนี้ อิชั้นก็ไปโหวตก็เค้าอยู่พักนึง นานๆ ไปก็เงียบ พอเค้าเอากลับมาก็ดีใจซะ 5555 หนาวไปหนาวมา…. กลายเป็น McRib ได้ยังไง 5555 บายเด้อค่ะ

mcribisback

The family is one of nature's masterpieces.

โชคดี-01

Thursday, December 3, 2009

Lady Mo - ท้าวสุรนารี (พ.ศ. ๒๓๖๙-พ.ศ.๒๓๙๔)

สืบเนื่องมาจากเคยถูกลูกและสามีถามเกี่ยวกับ “บ้านเกิด” ของอิชั้นหลายครั้งหลายหน แต่…เชื่อมั๊ย 555 อิชั้นตอบอะไรไม่ได้มากหรอก นอกจากอะไรนิดๆ หน่อยๆ เกี่ยวกับชิวิตวัยเด็กเล็ก บ้านช่องที่อยู่ การเล่นดื้อซน เรื่องถูกตีบ่อยๆ และที่ไม่เคยขาดคือ เรื่องเกี่ยวกับ “ย่าโม” พอคิดไปคิดมาเรื่องแบบนี้ไม่น่าจะใช้วิชา “ทรงเดช” ที่มีเฉพาะตัว ลูกและสามีน่าจะได้อ่านได้รู้อินโฟที่ถูกต้อง ก็เลยใช้บริการของกูเกิ้ล แล้วก็เลือกมาแปะให้ได้อ่านกัน

เกริ่นนิดนึง … อิชั้นเกิดที่โคราช พ่อแม่ไม่ใช่คนโคราชแต่โคจรมาพบรัก แต่งงาน และวางไข่ที่โคราช 5555 พออายุได้ 10 ขวบ ก็ย้ายตามเด็ดพ่อไปทั่วราชอาณาจักรสยาม (พ่อเป็นข้าราชการค่ะ มิใช่ หัวหน้าวงดนตรี ลิเก หรือหมอลำ แต่อย่างใด 555) ต่างกับพี่สาวของอิชั้นที่พลาดการเดินสายคาราวานชีวิตแบบอิชั้น เพราะพี่หญิงใหญ่เธอถูก “ล๊อค-อัพ” อยู่ที่โรงเรียนประจำของชาวคุณหนูแถวๆ สะพานซังฮี้ 555 กว่าจะพ้นโทษออกมาก็เป็นสาวใหญ่แล้ว 555 แล้วตอนเด็กๆ อิชั้นก็ไม่ได้มีกิจกรรมวิสาสะกับใครๆ นัก ไปไหนไปกันก็กับครอบครัว พอย้ายออกจากโคราชเมื่อวัยเยาว์ ก็ขึ้นเหนือล่องใต้ไปหลายจังหวัด พอพ่อย้ายกลับมาประจำที่โคราชอีกครั้งอิชั้นก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่กุงเต๊บซะแล้ว เวลากลับบ้านทีก็ติดแหง่กกับที่บ้านอีก เพื่อนฝูงตอนเด็กๆ ก็ไม่รู้จักมักจี่ จำชื่อได้ จำนามสกุลไม่ได้ จำหน้าค่าตาใครก็ไม่ได้ ไม่มีที่อยู่-เบอร์โทร ของเพื่อนๆ เหมือนเด็กสมัยนี้ โคราชก็เลยเป็นเพียงบ้านเกิดที่รักและผูกพันเท่านั้น แต่ก็ภูมิใจเสมอที่จะบอกใครๆ ว่าเป็น “ลูกย่าโม” จริงๆ ลึกๆ ก็รู้สึกละอายเล็กๆ ที่จะบอกว่า ไม่รู้ที่มาที่ไปประวัติของเมืองโคราชและย่าโมอย่างแท้จริง การค้นคว้าครั้งนี้นอกจากสนอง need ของลูกผัวแล้ว ก็เป็นการเก็บเกี่ยวความรู้ที่ควรรู้ (มานานแล้ว) ให้กับตัวเองด้วย เมื่อครั้งที่กลับไปเยี่ยมครอบครัวที่เมืองไทยหลายปีก่อน ได้มีโอกาสพาลูกและสามีไปเที่ยวโคราช ทุกๆ คนดูสนุกสนาน ประทับใจ ได้ไปแวะ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ปราสาทหินพิมาย ไทรงาม ทุ่งสำริด มวกเหล็ก ปากช่อง ฯลฯ ลูกถามอะไร แม่ก็ตอบได้นิดเดียว 555 น่าอายเน๊าะ

จากการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ อ่านแล้วก็ อืม… รู้สึกดี พออ่านมาถึงข้อความที่ว่า “From the memoirs of Acharn Ladawan Wannabun (Jitasombat) former director of the Nakhonratchasima Elementary school, fifth generation grandchild of Thao Suranaree, who stated that her mother’s ancestry, who investigated her roots, stated that her ancestry can be traced back to a foster child of Thao Suranaree, as Thao Suranaree had no children of her own.” ก็ เอ่อ… ไม่เคยรู้เล้ยยยย… เป็นข้อมูลที่น่าสนใจยิ่งนัก เพราะอาจารย์ลดาวัลย์ วรรณบูลย์ อดีตผอ.โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา สมัยโน้น…. โรงเรียนชั้นประถมต้นจะไม่เรียกคุณครูว่าอาจารย์ คำว่า “คุณครู” นี่เพราะเน๊อะ พวกเรา (ครอบครัวของอิชั้น) เรียกท่านว่า ครูใหญ่ หรือ คุณครูลดาวัลย์ (สมัยโน้นอีกนั่นแหละ ตำแหน่งใหญ่สุดของโรงเรียนก็คือ ครูใหญ่ มิใช่ ผู้อำนายการ อย่างในปัจจุบัน) บ้านของเรา (ซึ่งเป็นบ้านหลวง) อยู่เยื้องๆ จากบ้านของท่าน จึงเรียกได้ว่าครอบครัวเราสนิทสนมกับท่านดีในระดับหนึ่ง ในความทรงจำของอิชั้น ท่านเป็นสตรีสูงวัย ใจดี ดิชั้นเป็นนางรำ ระบำ รำฟ้อนให้กับงานโรงเรียนเป็นประจำ ก็เลยต้องอยู่ซ้อมรำบ่อยๆ หลังเลือกเรียน เลยได้มีโอกาสได้นั่งรถประจำตำแหน่งของท่านกลับบ้านบ่อยๆ เช่นกัน โก้นะคะ…จะบอกให้ รถโฟล๊คตู้สีฟ้า แถมได้ไปมากับครูใหญ่ด้วย คุณครูสมัยโน้น…เป็นบุคคลที่ผู้คนนับหน้าถือตา เป็นอาชีพที่มีเกียรติมาก พอได้ทราบว่าท่านเป็นเหลนทวดเจเนอเรชั่นที่ 5 ของย่าโม มันปลื้ม…ปลื้มใจดีค่ะ

เริ่มเลยก็เพลงมาร์ชเมืองโคราชที่ได้ยินได้ฟังจนติดหูยังแต่เล็ก งึมๆ งำๆ ดำน้ำร้องตามเค้าได้ด้วยนะ แต่พอค้นเจอเนื้อเพลงจริงๆ 5555 อารายว้า…. งึมงำพึมพำมาผิดๆ ตลอดเลย อ่านเนื้อเพลงแล้วก็ “จับใจ” ดีแฮะ อิชั้นนี่เป็น “นักสู้-นักรบ” โดยสายเลือดด้วยนะ หากจะบอกว่า เด็ดพ่อของอิชั้นนั้น originally จาก “บางระจัน” เชียวนะ อย่า… อย่าชวนทะเลาะเชียว.. “ลูกอิสาน-หลานย่าโม + ทายาทชาวบ้านบางระจัน” เตือนไว้ตรงนี้เลย 555

เพลง มาร์ชนครราชสีมา


ราชสีมาเหมือนดังศิลาที่ก่อกำแพง

สยามจะเรืองกระเดื่องเดชแรง

ด้วยมีกำแพงคือราชสีมา

ชาวนครราชสีมาแต่โบราณ

เหี้ยมฮึก กล้าหาญยิ่งหนักหนา

ศึกเสือเหนือใต้ที่ไหนมา

เลือดนครราชสีมา ไม่แพ้ใคร

แต่ก่อนกาลวีระสตรี

ท้าวสุรนารี ผู้เป็นใหญ่

กล้าหาญยอดยิ่งผู้หญิงไทย

มิ่งขวัญ ธงชัยของเมืองเรา

มาเถิดเราชาวนครราชสีมา

หน้าเดิน รีบมาสู้กับเขา

หากศัตรูไม่เกรงข่มเหงเรา

สู้เขา สู้กันอย่าพรั่นใจ

อย่าเสียเวลาเลย มาอ่านกันเลยดีกว่า (ที่คัดลอกมาจาก 3 เว๊บหลักๆ บางที่ข้อมูลซ้ำซ้อน ตัดต่อจากต้นฉบับเค้ามากๆ ก็ไม่ดี โปรดให้อภัยนะค๊าาา…)

อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี

แต่ก่อนกาลท่านวีรสตรี ท้าวสุรนารีผู้เป็นใหญ่

กล้าหาญยอดยิ่งผู้หญิงไทย มิ่งขวัญธงชัยของเมืองเรา

ท้าวสุรนารีเดิมชื่อ โม หรือ โม้ ท่านเป็นบุคคลสำคัญประวัติศาสตร์ของจังหวัดนครราชสีมาในฐานะผู้กอบกู้เมืองนครราชสีมา จากกองทัพของเจ้าอนุวงศ์ แห่งเวียงจันทร์ เมื่อพุทธศักราช ๒๓๖๙ คุณหญิงโม เกิดเมื่อพุทธศักราช ๒๓๑๕ ปีเถาะ ในแผ่นดิน พระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี บิดามารดาชื่อนายกิ่ม นางบุญมา เมื่ออายุ ๒๕ ปี ได้เข้าพิธีสมรสกับเจ้าพระยามหิศราธิบดี (ทองคำ) ที่ปรึกษาราชการเมืองนครราชสีมา ครั้งยังดำรงฐานันดรศักดิ์เป็นพระยาสุริยเดชวิเศษฤทธิ์ทศทิศวิชัยปลัดเมืองนครราชสีมา มีนิวาสถานอยู่ ณ บ้านตรงกับข้ามกับวัดพระนารายณ์มหาราช (วัดกลางนคร) ไปทางทิศใต้ ท่านไม่มีบุตรสืบตระกูล ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อเดือน ๕ ปีชวดพุทธศักราช ๒๓๙๕ รวมอายุได้ ๘๑ ปี

วีรกรรมของคุณหญิงโมนั้นเป็นที่คนไทยรุ่นหลังทราบดีว่า ท่านได้เป็นหัวหน้ารวบรวมครอบครัวชายหญิงชาวนครราชสีมา (ที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย) เข้าต่อสู้ฆ่าฟันทหารลาวล้มตายเป็นอันมาก ณ ทุ่งสำริด แขวงเมืองนครราชสีมา เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๓๖๙ ที่ช่วยให้ฝ่ายไทยสามารถกอบกู้เมืองนครราชสีมากลับคืนมาได้ในที่สุด

อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี

แต่ก่อนกาลท่านวีรสตรี ท้าวสุรนารีผู้เป็นใหญ่

กล้าหาญยอดยิ่งผู้หญิงไทย มิ่งขวัญธงชัยของเมืองเรา

อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี

อนุสาวรีย์ของท่านประดิษฐานอยู่ที่หน้าประตูชุมพล ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๗๗ และได้บูรณะใหม่ให้งาม สง่ายิ่งขึ้นเมื่อ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๐ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารีและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ทรงวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ ท้าวสุรนารี ในโอกาสนี้ พระราชทานบรมราโชวาทมีความตอนหนึ่งว่า ".... ท้าวสุรนารี เป็นผู้ที่เสียสละ เพื่อให้ประเทศชาติได้อยู่รอดปลอดภัยควรที่อนุชนรุ่นหลัง จะได้ระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน บ้านเมืองทุกวันนี้เป็นสิ่งที่ต้องหวงแหน การหวงแหน คือ ต้อง สามัคคี รู้จักหน้าที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันชาวนครราชสีมา ได้แสดงพลังต้องการความเรียบร้อย ความสงบ เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ชาติกลับปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าสถานการณ์รอบตัวเราและรอบโลกจะผันผวน และล่อแหลมมากแต่ถ้าทุกคนเข้มแข็ง สามัคคี กล้าหาญ และเอื้อเฟื้อต่อกัน ชาติก็จะมั่นคง...."

ข้อมูลอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีเพิ่มเติม

อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี
อนุสาวรีย์ท่านท้าวสุรนารี หรือ คุณหญิงโม [ย่าโม]

สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2477 ตั้งอยู่หน้าประตูชุมพล ซึ่งเป็นประตูเมืองเก่าทางด้านทิศตะวันตก อนุสาวรีย์เป็นรูปหล่อทองแดง รมดำ สูง1.85 เมตร หนัก 325 กิโลกรัม ประดิษฐานอยู่บนไพทีสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง สูง 2.5 เมตร รูปหล่อท่านท้าวสุรนารี ตัดผมทรง ดอกกระทุ่ม แต่งกายด้วยเครื่องยศพระราชทาน มือขวากุมดาบ ปลายดาบจรดพื้น มือซ้ายท้าวสะเอว หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นที่ตั้งของ กรุงเทพฯ อนุสาวรีย์นี้เป็นที่เคารพสักการะ ของชาวจังหวัดนครราชสีมา และประชาชนทั่วไป

ชาวนครราชสีมา จัดให้มี งานฉลองวันแห่งชัยชนะของท่านท้าวสุรนารี เป็นประจำทุกปี ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม-3 เมษายน

อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี

ท้าวสุรนารี นามเดิม คุณหญิงโม เป็นธิดา นายกิ่ม นางบุญมา เกิดเมื่อพ.ศ.2314 สมรสกับพระยาปลัดเมืองนครราชสีมา(ทองคำ) ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง เป็น พระยามหิศราธิบดี

ในปี พ.ศ.2369 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุวงศ์บุตรเจ้าศิริบุญสาร ผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุต ล้านช้างและเวียงจันทร์ ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยต้องการเป็นเอกราช จึงเป็นกบฏยกทัพจะมาตีกรุงเทพฯ เจ้าอนุวงศ์ใช้อุบายหลอกลวงเจ้าเมืองตามรายทาง โดยปลอม ท้องตราพระราชสีห์ ว่า ไทยขอให้เจ้าอนุวงศ์ยกทัพมาช่วยรบกับอังกฤษ ซึ่งยกทัพเรือจะมาตีกรุงเทพๆ จึงไม่มีผู้ใดขัดขวาง

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2369 เจ้าอนุวงศ์ยกทัพมาถึงเมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านและ มีความอุดมสมบูรณ์ ในขณะที่เจ้าพระยามหานครราชสีมา ไม่อยู่ และพระยาปลัดเมืองนครราชสีมาไปราชการเมืองขุขันธ์ กองทัพเจ้าอนุวงศ์มาถึง จึงเข้ายึดเมือง ยึดทรัพย์สินและให้เพี้ยรามพิชัย หรือพระยารามพิชัย กวาดต้อนชาวเมืองไปเป็นเชลยศึก เดินทางกลับไปเวียงจันทร์ก่อน ส่วนเจ้าอนุวงศ์เดินทัพต่อไปยังสระบุรีเพื่อเข้ากรุงเทพฯ

ในบรรดาเชลยศึกมีคุณหญิงโมรวมอยู่ด้วย คุณหญิงโม เป็นหญิงที่ฉลาดหลักแหลมรู้ทันว่า เจ้าอนุวงศ์หลอกลวง คุณหญิงโมออกอุบายให้ทหารเวียงจันทร์ ตายใจ โดยให้หญิงไทยที่ถูกต้อนเป็นเชลยยั่วยวน หน่วงเหนี่ยวทหารให้เดินทัพช้าลง วางแผนให้พวกผู้หญิง หลอกขอมีด จอบ เสียม มาใช้ซ่อมเกวียนและทำอาหาร แท้จริงแล้วกลับนำมีด จอบ เสียมนั้นมาลอบตัดไม้เป็นอาวุธแอบซ่อนไว้

ระหว่างพักที่ทุ่งสัมฤทธิ์ แขวงพิมาย ซึ่งห่างจากตัวเมืองนครราชสีมา ประมาณ ๔๐ กิโลเมตร ในวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2369 สบโอกาสเหมาะ พวกผู้หญิง ช่วยกัน หลอกล่อ มอมเหล้าทหารจนเมามายไร้สติไปทั้งกองทัพ แล้วช่วยกันทั้งหญิงและชายแย่งอาวุธฆ่าฟัน จนทหารล้มตายเป็นจำนวนมาก กองทัพแตกพ่ายไป เมื่อได้รับชัยชนะแล้ว จึงตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งสัมฤทธิ์ ชาวเมืองที่หนีรู้ข่าวการชนะศึก จึงพากันกลับมาสมทบ และพระยาปลัดก็ยกทัพตามมาช่วยทันเวลา ส่วนเจ้าอนุวงศ์รู้ข่าวว่ากรุงเทพๆ ยกทัพขึ้นมาช่วย จึงเลิกทัพกลับไปเวียงจันทร์

วีรกรรมที่คุณหญิงโม ได้ประกอบขึ้นที่ทุ่งสัมฤทธิ์ครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ สถาปนาคุณหญิงโม ให้ดำรงฐานันดรศักดิ์ เป็นท้าวสุรนารี และพระราชทานเครื่องยศทองคำประดับเกียรติ ดังนี้

  • ถาดทองคำใส่เชี่ยนหมาก ๑ ใบ
  • จอกหมากทองคำ ๑ คู่
  • ตลับทองคำ ๓ เถา
  • เต้าปูนทองคำ ๑ อัน
  • คณโฑทองคำ ๑ ใบ
  • ขันน้ำทองคำ ๑ ใบ

อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี

ท้าวสุรนารี ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ พ.ศ.2395 รวมสิริอายุ 81 ปี

อนุสาวรีย์ของท่านประดิษฐานอยู่ที่หน้าประตูชุมพล ตั้งแต่วันที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ และได้บูรณะใหม่ให้งามสง่ายิ่งขึ้นเมื่อ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๐

417px-เสด็จพระราชดำเนิน_อนุสาวรีย์

เหตุการณ์ที่สมควรจะบันทึกไว้ในปี พุทธศักราช ๒๕๒๔ คือเมื่อวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ทรงวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ท่ามกลางพสกนิกร ที่เข้าเฝ้าถวายความจงรักภักดีอย่างเนื่องแน่น ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานบรมราโชวาทมีความตอนหนึ่งว่า

....ท้าวสุรนารีเป็นผู้ที่เสียสละเพื่อให้ประเทศชาติได้อยู่รอดปลอดภัย ควรที่อนุชนรุ่นหลังจะได้ระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน บ้านเมืองทุกวันนี้เป็นสิ่งที่ต้องหวงแหน การหวงแหน คือ ต้องสามัคคี รู้จักหน้าที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ชาวนครราชสีมา ได้แสดงพลังต้องการ ความเรียบร้อยความสงบเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ชาติกลับปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าสถานการณ์รอบตัวเราและรอบโลก จะผันผวนและ ล่อแหลมมาก แต่ถ้าทุกคนเข้มแข็ง สามัคคี กล้าหาญ และเอื้อเฟื้อต่อกันชาติก็จะมั่นคง....

ขอขอบคุณ > > http://www.moohin.com/043/043k001.shtml

อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี

เมื่อท้าวสุรนารี ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อปีพุทธศักราช 2395 อายุ 81 ปี เจ้าพระยามหิศราธิบดีผู้เป็นสวามี ได้ฌาปนกิจศพ และสร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ วัดศาลาลอยซึ่งท้าวสุรนารีได้สร้างไว้


กู่อัฐิท้าวสุรนารี - วัดพระนารายณ์มหาราช

กู่อัฐิท้าวสุรนารี

วัดพระนารายณ์มหาราชเมื่อเวลาผ่านไปเจดีย์ชำรุดลง พลตรีเจ้าพระยาสิงหเสนี (สอาด สิงหเสนี) ครั้นเมื่อยังเป็น พระยาประสิทธิศัลการ ข้าหลวงเทศาภิบาล ผู้สำเร็จราชการเมืองนครราชสีมา องคมนตรี และรัฐมนตรี ได้บริจาคทรัพย์สร้างกู่ขนาดเล็ก บรรจุพระอัฐิท้าวสุรนารีขี้นใหม่ที่วัดกลาง (วัดพระนารายณ์มหาราช) สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ร.ศ.118 (พ.ศ. 2442)

ต่อมากู่นั้นได้ทรุดโทรมลงมาอีก อีกทั้งยังอยู่ในที่แคบ ไม่สมเกียรติ พระยากำธรพายัพทิศ (ดิส อินทรโสฬส) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายพันเอกพระเริงรุกปัจจามิตร (ทอง รักสงบ) ผู้บังคับการมณฑลทหารบกที่ 5 พร้อมด้วยข้าราชการ และประชาชนชาวนครราชสีมา ได้พร้อมใจกันสร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีด้วยสัมฤทธิ์ ซึ่งทางกรมศิลปากรได้มอบให้ ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ออกแบบร่วมกับ พระเทวาภินิมมิตร (ฉาย เทียมศิลปไชย) ประติมากรเลื่องชื่อในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม


พิธีเปิดอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี บนฐานอนุสาวรีย์ใหม่ ปี พ.ศ. 2510

พิธีเปิดอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีบนฐานอนุสาวรีย์ใหม่

ปี พ.ศ. 2510 ทั้งนี้ได้อัญเชิญอัฐิของท่านนำมาบรรจุไว้ที่ฐานรองรับ และประดิษฐานไว้ ณ ที่หน้าประตูชุมพล อนุสาวรีย์หล่อด้วยทองแดงรมดำ สูง 1.85 เมตร หนัก 325 กิโลกรัม ตั้งอยู่บนฐานไพที สี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองซึ่งบรรจุอัฐิของท่าน แต่งกายด้วยเครื่องยศพระราชทาน ในท่ายืน มือขวากุมดาบ ปลายดาบจรดพื้น มือซ้ายท้าวสะเอว หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศที่ตั้งของกรุงเทพมหานคร นับเป็นอนุสาวรีย์ของสามัญชนสตรี คนแรกของประเทศ เริ่มก่อสร้างในปี 2476 แล้วเสร็จ และ มีพิธีเปิดอนุสาวรีย์เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2477

ในงานพิธีเปิดนี้ จึงได้มีการสร้างเหรียญไว้เป็นที่ระลึก โดยมี สมเด็จมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพระคณาจารย์สายพระอาจารย์มั่น - พระอาจารย์เสาร์ ร่วมพิธีปลุกเสกที่ วัดสุทธจินดา ชาวเมืองนครราชสีมารัก และหวงแหนเหรียญรุ่นนี้กันมาก เพราะถือกันว่านี่คือ เหรียญแห่งชัยชนะ เพื่อศรีสง่าแห่งบ้านเมือง และเชิดชูเกียรติ ท้าวสุรนารี วีรสตรีไทยตลอดกาล และทางกรมศิลปากร ได้ขึ้นทะเบียนอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เป็นโบราณสถานวัตถุแห่งชาติ เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2480

ครั้นเมื่อปี พ.ศ. 2510 ฐานอนุสาวรีย์ชำรุด ข้าราชการ และประชาชนชาวนครราชสีมา โดยนายสวัสดิวงศ์ ปฏิทัศน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้น เป็นประธาน ได้ร่วมใจกันสร้าง ฐานอนุสาวรีย์บรรจุอัฐิท้าวสุรนารี ขึ้นใหม่ ณ ที่เดิม เพื่อให้เป็นศรีสง่าแก่บ้านเมือง และเชิดชูเกียรติท้าวสุรนารี วีรสตรีไทยตลอดกาลนาน แล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510


เหรียญที่ระลึกในงานพิธีเปิด พ.ศ. 2477 (ด้านหน้า)เหรียญที่ระลึกในงานพิธีเปิด

เหรียญที่ระลึกในงานพิธีเปิด พ.ศ. 2477 (ด้านหลัง)

ทางจังหวัดนครราชสีมา หน่วยงานราชการต่าง ๆ รวมทั้งประชาชนชาวนครราชสีมา ได้การจัด งานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี (คุณหญิงโม) เป็นงานประจำปีของจังหวัด เพื่อเป็นการเคารพสักการะ เชิดชูเกียรติ ในวีรกรรมของท้าวสุรนารี และเหล่าบรรพบุรุษของชาวนครราชสีมา จัดขึ้นบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด กำหนดจัดระหว่างวันที่ 23 มีนาคม - 3 เมษายน ของทุกปี

ที่มา......จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ขอขอบคุณ > > http://www.kaweeclub.com/16/2552%28%29/

Lady Mo History

An unofficial translaton by the Korat Post from material provided by the former governor's administration.

Translation of Thao Suranaree Biographical History
Thai Versions Provided by Nakhonratchasima Provincial Governor’s Office
August 25, 2004 & lost by the new incoming Administration who has remained silent about what happened to it.

English translation requested by October 25, 2004
Note: This is an unofficial translation, provided for informational purposes.

Section 1

Thao Suranaree, whose original name was Mo, was born in BE 2314. Her father’s name was Mr. Kim, her mother’s name was Mrs. Boonma. Thao Suranaree was a native of Nakhonratchasima by birth, and lived across from a temple in the heart of Nakhonratchasima (Wat Phranaraimaharat). In the year BE 2339, at age 25, Mo married Mr. Thongkham, of the provincial political affairs office. Subsequently Mr. Thongkham changed position to become the Nakhonratchasima city secretary of political affairs. It was a position considered to be equivalent to the rank of a noble. The people of Nakhonratchasima preferred to address him as ----- but he ---- and said to use “Phrayapalat.” The people called his wife Mo, then later Mae, and then finally Mae Mo. Currently she is called by the name Ya Mo, or Khun Ya, but the most popular name is Ya Mo.

Khun Ying Mo was a person of high intelligence. She also was an accomplished rider of both elephants and horses. Her favorite horse was black. Khun Ying Mo was a faithful follower of Buddhism, and liked taking her children and nephews and nieces to Wat Sakaew and Wat Isan regularly.

Section 2

Heroic Deeds of Khun Ying Mo

In BE 2369, Prince Anuwongseof Vientiene revolted and ledan army to seize Nakhonratchasima. At that time, Phrayasuriyadej was away on business to Khukhan, leaving behind only minor officials of the political affairs department. The Vientiene troops easily entered and seized Nakhonratchasima, overrunning the small number of defenders, including Khun Ying Mo, and herding them together to march back to Vientiene.

Khun Ying Mo sagaciously instilled morale and heart in the captive people of Nakhonratchasima . She did everything to make the Lao soldiers sympathetic to their Thai captives. She also found ways to delay the journey, such as claiming that captives were sick or that a cart had broken and needed repair. She was also holding secret talks. She asked [her captors] for axes to repair ‘broken’ carts, or to cut brush for firewood, etc., in order that the captives would have these tools when needed. Khun Ying Mo ordered that wood sticks be gathered and sharpened with axes, and that hoes be used as well in place of weapons [when the time arrived].

Upon reaching Thungsamrit, Khun Ying Mo, with a strategy in mind, asked her captors to allow the marchers to rest so that their sore muscles could recover from the long journey, and the Lao commanders allowed this. After setting up camp at Thunsamrit, Phrayahrom, Phrayapalat and Khun Ying Mo commanded that a group of young women lure the Lao soldiers outside the camp. Cooks remained in camp. At this time, male cooks separated into groups with a number of weapons. Junior political affairs department staff took the left and right flanks. Phrayapalat acted as commander of the main force. Khun Ying Mo acted as head of a group of skilled women in a reserve force. After some time passed, all those who had prepared rushed together at the same time, shouting and cheering, chopping at the Lao soldiers and scattering them in confusion. The Lao soldiers had no idea of the impending attack, and fell and died or scattered away. Thus the following verse was authored to honor the people of Nakhonratchasima, by Phraya Upakitsin:

In sudden rush, jabbing quickly
Men leading and women in reserve
Men charging and women pushing forward,
Together confronting, spreading
Women of stout heart --- Lao soldiers

Without spears they used axes,
Without swords they used sticks and clubs big and long,
They struck and lashed, annihilating the Lao soldiers
A stampede in the border jungle.

Verse Honoring the People of Nakhonratchasima

Section 3

After the battle was over, His Majesty the King conferred the title of Thao Suranaree on Khun Ying Mo, as well as conferring the further title of …. On Phrayapalat.

Six years after the battle had ended, in the year B.E. 2375, Thao Suranaree and Phrayapalat produced a book and presented it to Wat Isan as a way of commemorating the event. The book that was presented to the temple was titled, ….. made out of 20 palm leaves, written in Khmer and Bali and Thai script and with a vermillion design on gold leaf. Currently this ancient document is retained in the Nakhonratchasima Chalermphrakieti National Library. Head of the library’s documents section Mr. Somchai Faksuwan stated that Wat Isan donated the document to the National Library, and that there is clearly legible writing that reads Phayapalat Khun Ying Mo, produced upon the passing of the king, in B.E. 2375, Pii Marong….

When Thao Suranaree passed away n B.E. 2395 at age 71, her surviving husband Chaophrayamahisarathibodee enshrined her remains in a chedi he built at Wat Salaloi.

Section 4

Residence of Thao Suranaree: Testimony from foster children

From the memoirs of Acharn Ladawan Wannabun (Jitasombat) former director of the Nakhonratchasima Elementary school, fifth generation grandchild of Thao Suranaree, who stated that her mother’s ancestry, who investigated her roots, stated that her ancestry can be traced back to a foster child of Thao Suranaree, as Thao Suranaree had no children of her own. Thao Suranaree therefore took in a niece, by the name of Boonma, to raise as her own child. Boonma had one child, Nang Nuu Uan, who in turn married Phraphichaisongkranpol. They had one child, named Luang Sathonsapkit (Ud Chatawaraha), who married Mrs. Jaem. They had six children, as follows:

1. Mrs. Lukjan (Chatawaraha) who married Luang Rachathura (Inthornkamhaeng)
2. Mrs. Tongmee (Chatawaraha) who married Khunwannawutwijarn (Tongpaan Jitasombat)
3. Mr. Sorn Chatawaraha who married Mrs. Tongjeu maiden name Prayong
4. Mr. Sangiem Chatawaraha who married Mrs. Num
5. Mrs. Cheuyn (Chatawaraha) who married Luangphraphannittisart (Kree Sornsing)
6. Mr. Thanom Chatawaraha who married Mrs.Liap maiden name Maenaruj and Mrs. Tongkham. Mrs. Tongkham had the second child of Luangphraphannittisart who married Khunwannawutwijarn (Tongpaan Jitasombat) and they had six children, as follows:

1. Mr. Niphol Jitasombat, who married Mrs. Sri; they had one child.
2. Mrs. Jaras Maneesuwan, who married Mr. Anand Maneesuwan; they had three children.
3. Mr. Charoen Jitasombat
4. Mrs. Ladawan Wannabun who married veterinarian Suwn Wannabun – they had no children.
5. Miss Aree Jitasombat
6. N.A. Wijit Jitasombat who married Mrs. Uthaiwan – they had three children.

Acharn Ladawan Wannaboon wrote that she was raised by her aunt Jaem Chatawaraha because her mother had to travel with her father who traveled from province to province in government service. As she was being raised, her aunt told her details of Thao Suranaree, as follows…

Section 5

The residence of Thao Suranaree was the area and home where Luangphraphannittisart and Aunt Jaem lived, and which fell into the hands of the fifth generation descendents who now live in it. Originally the north property line was next to Wat Phranaraimaharat (Wat Klang). It was an area next to the wat pond where there was a betel garden for eating betel nut. Later authorities requested the property to build a market. It was called Phranarai Market. The reason that it was thus named was a Phranarai shrine standing, and later when Chompol Road had to be cut, land belonging to Khun Ying Mo – the north side which bordered the road, the southern side which bordered Mahadthai Road, the each which bordered a public way, and the west side which bordered private property. There were 7.1.57 rai total. According to the property deed issued to Luang Sathonsanprakit , son of Phraphichai Songkramphol and Mrs. Nuu Uan Phichaisongkramphol, in the property there was an earthen home, behind which was a well (the well is still there). The southern side adjacent to Mahadthai Road had a large pond named Maew Pond (now filled in), where Khun Ying Mo and her children/grandchildren celebrated Songkran.

Gold insignia of rank graciously conferred were cited as follows:

One gold tray for betel nuts
One gold betel cup
Three gold boxes vine design
Gold water pot
Gold basin
Betel envelop

Royal decorations received are as follows:

Gold hemmed sarong
Gold lined blouse
Sash blanket (sort of a shawl)
Gold lined breast cloth

Luang Sathonsappakit (Ud Chatawaraha) was a descendent who inherited the land, insignia and decorations. Aunt Jaem also willed separate items to Acharn Ladawan Warrabun and N.A. Wijin Jitasombat, comprising one gold tray, a set of two betel cups, three vine design inlaid gold boxes, one gold vine design inlaid envelop. N.A. Wijin Jitasombat received one gold water bowl, an assortment of decorations from the fourth great-grandchild named Chalaem, said to have seen a monk take the material and cut it into a bag which later became dilapidated.

Section 6

Construction of the Thao Suranaree Army Monument

The individual who sculpted the statue was named Mrs. Nim, wife of Phra Bunkhamborinak – whose name was also that of a four-way intersection, southerly one down from Lak Muang. It was called Bunkham Intersection, since his home was in the area. Those who were able to substantiate so stated that Mrs. Nim was the model for another statue of Thao Suranaree victory Monument, Miss Benjang Intsol. The reason for using Mrs. Nim as the model may have been because it was desired to have the statue with the image of a woman of Korat with [characteristics described] by her children who passed them up through Mo’s grandfather. As well, the craftsman’ skill was so as to have the statue appropriate to that of a heroine.

When Thao Suranaree died in BE 2395 (AD 1852), Chao Phraya Mahismathipodi had the body cremated and then built a chedi and placed the bones in it was Wat Sala Loi. Subsequently, Wat Salao Loi became dilapidated and lie in waste. Col? Phraya Sungsaenee, when at the time carrying the rank and title of Phraya Prasitisankul, retired form government service as Nakonratchasima provincial governor and built a temple at the former of Wat Pharanarai Maharat, NW, then ‘invited’ the mortuary urn of Thao Suranaree to be established there in BE 2443 (RS 117). Later, Phraya Kamtorn Phayaphit (Dis Intasolos?) and P.O.? Phrarerng Rukpatjamitr (Thong Rak Sanjob) considered and saw that the urn of Lady Mo bones at Wat Phranarai Maharat was decomposing, so they sought another appropriate place, that is, in the area of Chompol Gate. After installing the victory Monument, Thao Suranaree’s bones were placed in the monument foundation in BE 2488?. Since BE 2510, the monument’s foundation was raised. Mr. Sorn Chatasuaisha?, who was the fourth great—great grandchild, asked to be given some of Thao Suranaree’s bones, from the Nakhonratchasima provincial governor, to enshrine them n the chedi east of an old Buddhist chapel at Wat Salaloi. Currently Thao Suranaree’s bones are at Wal Salaloi and are paid constant respect by the people.

Section 7

Thao Suranaree and People’s Beliefs

People’s beliefs are acceptance of something existing in one’s consciousness, from a supernatural power that are either good or bad for the individual. Even though these supernatural beliefs may not be able to be proven true, people in society accept them and give respect, stand in awe, praise, prostrate in worship and entreat. Groups or people thus prostrate, such as to pray to heaven to enable oneself to share some of that supernatural power, giving rise to love, to pity, not being angry or not to do harm, as well as to gain some benefit. There are two levels of belief; that is, a part of religion that is a belief with a reason, that is able to explain what one is uncertain of - that is a guide including a guide for life. The second level of belief is local beliefs, that is, when investigated, are found to be practiced according to tradition. In regard to Thao Suranaree, the general public has the latter belief.

Thao Suranaree is a great heroine. Her bravery and ability, restraint, sacrifice for her nation was an inspiration at Tung Samrit. Her bravery is the pride of the people of Nakhonratchasima. This pride and impression makes her almost a family heroine. Thus the people of Korat are partly her children, partly her grandchildren, and have a connection with Thao Suranaree that is one of trust and fond memory. Therefore, when passing Thao Suranaree’s monument, everyone will wai in request for a blessing from her automatically. She is thus truly an important person belonging to all of the people.

Section 8

Thao Suranaree is a sacred and precious spirit of Nakhonratchasima, caring for, shielding, protecting, monitoring..so that her children and grandchildren will have happiness, progress, enjoy success, even if they are not native Koratians, she will give good luck to them as well.

With the installation of the Thao Suranaree monument in BE 2477? (1934) ceremonies were held commemorating, offering sacrifice, to her spirit in Heaven and devotion offerings, whereby it was decided that 23 March would be the official date of celebrating victory over the Vientiene enemy, and it has been so up to the present. These ceremonies changed ThaoSuranaree from being an ordinary person to being a saint. That the government and the people have incorporated these ceremonies has changed Thao Suranaree into a figure of worship, of prayer, giving success hoped for. As well, there is the redeeming of vows to her spirit through Phaleng Korat (the Korat Song), whereas the Korat Song has never diminished from the area of the Thao Suranaree victory monument.

The ceremony of Thao Suranaree’s sacrifice on 23 March 2477, is both a Buddhist and a Brahmin one. In regard to the Brahmin part, a sacred command is read. Part of it speaks of inviting her spirit to visit so that her children and grandchildren can offer sacrifices, and for her to receive these sacrifices. As well, she is called “Phra Mae Thaan,” which is a title of high esteem whereas [she is seen] as a guardian spirit, one [indicated in] the sacred command, “… upon the occasion where government officials, merchants, and the people have happiness, e jubilant, elated and inspired, rejoicing in devotion, joining to build her victory monument…to increase devotion to the fullest, as well as her prestige, and thus ask her to appear during the ceremony so that here descendents can offer sacrifices and pay respects. She is invited to visit and receive delicious food to enjoy, which includes swine head, auspicious rice, papaya salad, duck, chicken, shrimp and fish, minced fish and fruit, chow-chow, oiy bananas, as well as sweets – tomdaeng, tomkhao, as well as liquor, inviting her, Phra Mae Thaan, to visit andeat, and when she is finished eating the meal, to invoke a blessing that all of her descendents may continually receive more than ample possessions, be safe and devoid of disease that would disturb them, to experience happiness, prosperity, stability, many accomplishments, to live to a long life..”(Public Record 2540:90) whereby the ceremonies in offering respect to Thao Suranaree have become an annual event. Currently it causes those who take part in the ceremonies to believe that Thao Suranaree has the standing of a guardian saint that visits the Thao Suranaree victory monument in waiting to help, guard and oversee the city and the people so that they live in happiness, safety and are free from all harm.

Section 9

Ya Mo’s power always manifests itself to government officials and to the general public. For example, Mr. Damrong Ratanaphanich, while he was serving as governor of Nakhonratchasima,said that “The top of the Moon River Dam was about to collapse on 24 October 2533 (AD 1940). I asked Lady Mo for assistance in prevailing against the water so that the dam would not collapse. I asked fleeing villagers to seek higher ground, but then the dam did not collapse. I swear that it was a miracle of Thao Suranaree’s (or Lady Mo’s) spirit. Say that it was deep belief n Ya Mo.
There was an experience that should be written down and remembered: that is in 2529 (AD 1936), when I was serving as serving as provincial governor for Nakhonratchasima, I was on my way to accept a new post in the Justice Department in Bangkok. My wife Sritong had asked Ya Mo, please have me return to live in Korat (Nakhonratchasima Chamber of Commerce, 2534:3). That power [of Thao Suranaree] led to medals and figures to be made in her likeness, such as that the Chamber of Commerce has made in celebration of its tenth anniversary in 2534 (AD 1991). The medal ceremony was presided over by his Holiness the Supreme Patriarch Phrayansangworn. Suranaree Wittaya school made statues of Thao Suranaree 70 and 30 centimeters tall, as well as making gold plated medals, upon the occasion of the 75th anniversary of the school on BE 2543 (AD 2000).

Section 10

Thao Suranaree and The Korat Song

The Korat Song is a local song. It is only vocal with no instruments used. It is an extemporaneous format song with quick interchanges between men and women where they say that Thao Suranaree likes the Korat Song a great deal, that if anyone supplicants Thao Suranaree for a blessing, they will be able to receive one with the Korat Song. She is thus seen as one who injects breath into the Korat Song so that it lives on.

The figure of Thao Suranaree is a symbol of Nakhonratchasima. To install the Thao Suranaree foundation in 2577 (AD ), the citizens of Nakhonratchasima played a part in donating copper coins, each costing one sating [one Baht has 100 satangs) to be accumulated to cast the statue. Thus Nakhonratchasima province used the statue as a provincial symbol. In addition, there were also government officials and shop merchants - who brought the name and symbol in part of their names in worship with the belief that this would bring good luck – such as Suranaree Wittaya School, Suranaree Ice House, Suranaree Printing Company, Suranaree SarnSport Company, Ltd. as a few examples. In addition, the name and symbol appears on various products, such as in those produced that are connected with matters of the heart, that are able to communicate and cause understanding.

Thao Suranaree resides in memory, praise, great esteem, and worship of the people of Nakhonratchasima, because she is a brave heroine. Even though she is a woman, she was able to use her mind and her hands to solve the land’s crisis. She is thus a heart-rallying symbol for the people of Korat and of the nation.


A photo of Thao Suranaree (Lady Mo), taken from Klang Plaza Department Store.
Photo by the Korat Post.

The procedure is simple.

1. Proceed to the garland and bouquet vendors to the left side of the Lady Mo statue.

2. The vendors are used to people walking up so know what you need. But if you can speak any Thai, or even English, it's nice!

3. As of 31 March 2004, we were quoted a figure of 20 Baht for the garland (two garlands are available - a small one, or a larger one with a ribbon), and another 20 Baht for the lotus bouquet. You may be able to bargain, but maybe not. The total cost - 40 Baht - is slightly over $1 U.S. You don't need to buy both garlands, but if you do, the cost will be 60 Baht rather than 40 total.

4. The lotus bouquet consists of three joss sticks, a candle, a small gold leaf between two thin pieces of paper, and a lotus flower.

5. After making your purchases, proceed to the Lady Mo (Thao Suranaree) statue, removing your shoes either at the bottom of the stairs or if you prefer, up at the top just before approaching the statue.

6. Kneel in front of Thao Suranaree statue, and with the lotus bouquet between your hands, 'wai' with your hands even with the bottom of your nose, and dip your head slightly downward. During this 'wai,' you may make a wish if you choose, or ask for a blessing or special consideration for yourself, a family member or friend, group, etc. Alternatively, if you do not choose to make a wish, merely conclude the 'wai' and then stand.

7. Place the garland at or around/near the feet/base of the Lady Mo statue. 'Wai" once more if you wish.

8. Light the candle, generally by using one of the other burning candles that have already been placed. Use the flame from the candle to light the three joss sticks. When they are lit, you may wish to extinguish the open flame with a quick waving of the sticks. It is not considered appropriate to blow the flame out.

9. Place the candle nearby the others, and then place the joss sticks in the receptical with the others. You can then 'wai' once more.

10. Place the gold leaf over the bust of Lady Mo. You will notice it nearby, covered with gold leaf. The gold leaf is rather sticky to fingers. The best way to place the leaf is to remove one side of the protecting paper, and then press the gold leave over the surface of the bust, and vigorously press on the backside of the remaining paper until the leaf sticks.

11. If you wish, 'wai' once more, then you may leave.

12. If you wish, you can also 'wai' once more in front of Lady Mo where you first began the ceremony.

That's about it. There are a lot of photographers about. They advertise in Thai that photos cost 10 Baht each. You are, of course, free to take your own photos.

Thanks > > http://www.thekoratpost.com/ladymo.html

Friday, November 27, 2009

Happy Thanksgiving (UPDATE)

Happy-Thanksgiving-Cooked-Turkey-Posters

เป็นแต๊งส์กีฟวิ่งที่ยุ่งๆ ป่วยๆ ยังไม่รู้จะตั้งต้นคริสต์มาสดีหรือป่าว เดี๋ยวจะมาเล่ารายละเอียด ไปตัดต่อรูปและเรื่องก่อนนะคะท่านผู้ชม เอาไก่งวงหินๆ มาฝากก่อน แทะกันไปพลางๆ ก่อน 555

GiveThanksHappyHolidays

แถมด้วยนี่…….แฮ้ปปี้ ฮอลิเดย์ ด้วยซะเลย

happyholidays11

มาแล้ว มาแล้ว มาแร้วววววววววว… ยังเหนื่อยๆ เซ็งๆ เหมือนเดิม จะมาเล่าเรื่องวุ่นๆ ยุ่งๆ ช่วงเทศกาลแต๊งส์กีฟวิ่งให้ฟัง เอาเป็นฉากๆ เลยเน๊าะ

เริ่มจาก วันศุกร์ (20) ขณะที่กำลังวุ่นวายเตรียมตัวออกไปรับอาหารเพื่อไปส่งให้อีก๊อตที่ที่ทำงาน ไอ้ตี้วิ่งๆๆๆ (มันเดินไม่เป็น เวลาวิ่งก็ฟูลสปีดด้วยนะ) แล้วไปลื่นหัวฟาดพื้นอย่างแรง พื้นตรง Hallway เป็นพื้นกระเบื้องด้วยสิ เป็นเพราะไอ้ตี้เองแหละ มันชอบไปกดชักโครกเล่น ดึงกระดาษเช็ดตูดโยนใส่โถส้วมแล้วก็กด ทำอยู่อย่างนั้นจนหมดม้วนมันถึงจะเลิก โดนตีไม่รู้เท่าไหร่…ก็ไม่เข็ด แล้วไอ้ส้วมบ้าเนี่ยก็ชอบค้าง ถ้าไม่มีใครรู้ใครเห็นไปยกฝาออกแล้วปลดลูกลอยที่พับค้างอยู่ น้ำก็จะไหลอยู่ในถังไม่หยุด บ่นๆๆ ซ่อมเองบ้างแล้วก็พอโอเค แม่กับพี่ใช้ได้ไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่ไอ้ตี้ชอบกดแล้วโหนค้างเอาไว้ ตานี้ไม่รู้มันไปเล่นกดส้วมนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่…คงนานมากแหละ เพราะน้ำไหลท่วมถ้นล้นถัง (ถังนะคะไม่ใช่โถ…น้ำสะอาด…แถมส้วมเป็นส้วมที่เค้าติดตั้งใหม่ด้วย) น้ำนองท่วมเข้าไปทุกห้อง พรมแต่ละห้องที่ใกล้ๆ ประตูเปียกปอนหมด

ตอนที่ไอ้ตี้ลื่นล้ม หัวด้านหลังตรงทุยๆ น่ะ ฟาดลงที่พื้นอย่างแรง มันร้องกรี๊ด อิแม่ก็มือไม้สั่น ลูกร้องเพราะเจ็บปวดไม่ใช่งอแงงี่เง่า ร้องแบบนั้นรู้แกวกันดีอยู่แล้ว รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกออก เช็ดหัวเช็ดหู โห….. มันแดงม่วงเป็นวงใหญ่เลยตรงที่ฟาดลงกับพื้น แต่ไม่ปูดโน กลัวว่าจะเป็น concussion กับข้าวก็ต้องไปรับ-ไปส่งอีก ลูกก็เจ็บอีก อยากตายยยย… ก็รีบแหกไปรับกับข้าวซะให้เสร็จๆ พอส่งกันเสร็จ ก็ไม่พูดไม่จาฮ่อไปโรงบาลเด็กเลย 30 ไมล์ แม่ขับแค่อึดใจเดียว ให้พี่มันพยายามชวนน้องคุยตลอด ไอ้ดื้อก็อยากจะหลับ ชักเงียบๆ เครียดๆๆๆๆ

พอถึงโรงบาล (ไม่อยากไปเล้ย…ให้ตายสิ เพราะแถวๆ นี้มีเด็กเป็น swine flu –H1N1 กันอยู่ไม่น้อย เฮ้อ….) ก็รอไม่นาน พยาบาลก็เรียกเข้าไปซักถามอาการ เจ้าหน้าที่อีกคนซักถามเรื่องประกันและการชำระเงิน แล้วก็ออกมานั่งรอ คราวนี้รอเง่กกกก…. ไปอีกเกือบชั่วโมง เค้าก็มาอันเชิญเข้าไปรอในห้องตรวจ รอกันอีกเป็นชั่วโมง หมอเข้ามาก็ตรวจถี่ถ้วนดี แล้วบอกว่าไม่อยากทำ MRI เพราะยังเล็กนัก รังสีที่ใช้มันเยอะ แต่ถ้าหากจำเป็นก็จะต้องทำ อยากให้รอดูอาการคืนนี้ก่อน เค้าก็เช็คหู หัว จมูก ปาก ไม่มีเลือดไหล หัวไม่โน แต่รอยแดงช้ำชัดเจน หมอยังบอกว่าถ้ามันเป็น concussion คงไม่ดื้อซนร่าเริงอย่างตอนที่เค้าตรวจหรอก แล้วไอ้ตี้ก็เกิดตัวอุ่นๆ หมอก็สั่งให้พยาบาลเอายามาป้อน มันถ่มถุยซะ เรียกว่าเข้าถึงท้องมันไม่ถึง 1 ใน 4 เรื่องป้อนยาไอ้ตี้นี่ ต้องบอกว่า โคตรยากเลย ไม่เหมือนอีรอมตอนเล็กๆ ง่ายดาย น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ มามีฤทธิ์ก็ตอนโต แหงะ

page-484

สรุปว่าหมอนิมนต์ให้กลับบ้านกัน สั่งกำชับให้จับตาดูมันเยอะแยะ ไปดูตรง Emergency signs ข้างล่างโน่นเลยค่ะ ก็บอกถ้ามันร้องเพราะปวดหัวแบบไม่เลิกไม่หยุด อ้วก ม่านตาดูไม่ปกติ เบลอๆ เอ๋อๆ ก็ให้รีบพากลับมาโรงบาล ถ้ามันหลับก็ให้หลับไป แต่คอยปลุกทุกๆ 2 ชั่วโมง ดูว่ามัน disorient หรือป่าว หากมีอะไรดูไม่ชอบมาพากลก็ให้กลับไปโรงบาล รอเค้าทำตามลำดับ พยาบาลก็เอารีลีสฟอร์มมาให้ ใช้เวลานั่งรออย่างบ้าคลั่งที่โรงบาลนานเป็นปกติ เราไปถึงโรงบาลกันประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ กลับถึงบ้านก็เที่ยงคืนพอดีๆ อิพ่อมันก็โทรเข้ามือถือทุกๆ 15 นาทีเลยเชียว

Concussion

A concussion is a brain injury that may result in a bad headache. altered levels of alertness, or unconsciousness.

Symptoms

A concussion results from a significant blow to the head. Symptoms can range from mild to severe. They can include:

  • Headache
  • Altered level of consciousness (drowsy, hard to arouse, or similar changes)
  • Loss of consciousness
  • Memory loss (amnesia) of events surrounding the injury

Emergency signs:

  • Changes in alertness and consciousness
  • Convulsions
  • Muscle weakness on one or both sides
  • Persistent confusion
  • Persistent unconsciousness (coma)
  • Repeated vomiting
  • Unequal pupils
  • Unusual eye movements
  • Walking problems

พอกลับถึงบ้านก็แบกลูกฝ่าความหนาวเหน็บเข้าบ้านเพราะมันหลับคร่อกอยู่ (ระยะนี้อากาศเย็นมากแล้ว กลางวันก็ประมาณ 50-60°F กลางคืนก็ 30-35°F) นั่งเฝ้ากันไป จนรุ่งเช้า มันก็ตื่นมาดื้อซนได้ตามปกติ แต่ความห่วงและกังวลไม่ได้ลดลงเลยแหละ รอยช้ำก็ยังชัดเจนอยู่ พอตกค่ำ อยู่ๆ ไอ้ตี้ก็มีเลือดกำเดาพรั่งพรูออกมา มากกกกกก…. มากมายกว่าปกติเยอะ ไหลอยู่นานมาก ทำยังไงก็ไม่หยุด เอาถุงโคลแพ๊คประคบ ทิชชู่แดงเทือกเต็มพื้น เสื้อผ้าทั้งของแม่ของลูกเปื้อนไปหมด แต่ซักพักใหญ่ๆ ก็หายไป โทรไปโรงบาลเด็กอีก ว่าเอาไงดี คำตอบคือ “แล้วแต่” ถ้าวอรี่ก็เอากลับมาให้หมอตรวจดู เป็นคำตอบที่เทรนมาให้เซฟตัวเองเซฟโรงบาลใช่ป่าว… ไอ้วอรี่น่ะวอรี่อยู่แล้ว ก็เลยบอกไปว่า เดี๋ยวกุขอสังเกตอาการลูกกุอีกซัก 1 ชั่วโมง ถ้าดูโอเค ก็ไม่พาไป ก็..เออๆๆๆ…จบ สุดท้ายก็ไม่ได้พาไป แต่แม่กับพ่อก็จ้องหน้ากันแบบ… เราตัดสินใจถูกหรือป่าววะ ไม่อยากจะมา regret กันที่หลัง แต่ก็ดูกันไปก่อนละกัน ไอ้ตี้ก็ดื้อซนได้ตามปกติในวันต่อๆ มา พอวันอาทิตย์ (22) ก็ต้องพาอิรอมไปส่งบ้านย่า เพราะมันจะไปแต๊งส์กีฟวิ่งกะอีแวว (Valerie - น้องผัว) ที่บ้านบนเขา Pine Mountain Lake ได้ข่าวว่าสโนว์แล้ว จริงๆ ก็ไม่อยากให้ไป เพราะรอมมี่โตแล้ว เรียกหาให้ช่วยหยิบจับอะไรได้เยอะแล้ว น้องไม่ค่อยสบายแบบนี้ด้วยสิ แต่จะไปก็ไป เพราะเห็นว่าวางแผนกันนานแล้ว

พอรุ่งเช้าวันจันทร์ (23)อิชั้นก็ต้องไปทำ CT Scan ตรวจคุณมดของอิชั้นด้วย โอ้ยยย…ประสบการณ์ใหม่ เรื่องเยอะ เดี๋ยวไว้เขียนเป็นเรื่องเดี่ยวๆ ให้อ่านที่หลังละกันนะคะ

อิชั้นกับไอ้ตี้ก็อยู่โยงที่บ้านกัน 2 คน เพราะอิพ่อมันทำงานทุกวัน พอเที่ยงคืนวันพุธ (25) ไอ้ตี้ก็เริ่มอ้วก ลูกดูเงียบๆ ซึมๆ มาตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา ก็ดีๆ ดื้อๆ แหละ คิดว่าลูกเงียบๆ ไป เพราะเหงาพี่ไม่อยู่บ้าน ไม่ได้รบราฆ่าแกงกับพี่ จากที่มันเป็นคนกินยาก กลายเป็นไม่ยอมกินอะไรทั้งวัน พอกินอะไรก็อ้วก ไข้ก็ไม่มี อิชั้นก็ทุรนทุราย อยากจะบ้า รอผัวกลับถึงบ้าน ก็ค่อยอุ่นใจนิดนึง (นิดนึงจริงๆ นะ เพราะอิบ้านี่ไม่ช่วยอะไรมากหรอก ก็แค่รับฟัง อยู่ใกล้ๆ พอให้อุ่นใจ นั่งเฝ้าลูก ช่วยหยิบโน่นนี่บ้าง ก็แค่นั้น) ไอ้ตี้ก็อ้วกไม่หยุด กลัวลูกจะ dehydrate พยายามให้ลูกดื่ม 7-up บ้าง น้ำบ้าง เป็นว่าดื่มอะไรก็พุ่งออกมาหมด แล้วเวลาอ้วกก็แบบ พุ่งเลยนะ น่ากลัวมากๆ ดูแลกันจนตี 4 อิชั้นก็แบบ ไม่ไหวแล้ว จะพาลูกไปโรงบาล อิพ่อมันก็ไปไม่ได้ เพราะต้องไปทำงาน เลยโยนลูกใส่รถห้อไปโรงบาลกัน 2 คน ขับรถไปโรงบาลเป็นเรื่องที่เชี่ยวชาญพอใช้แหละ แต่มันจะเป็น 15-16 ไมล์บนฟรีเวลย์ ซึ่งรถมีไม่มาก เพราะเป็นเช้าตรู่ของแต๊งส์กีฟวิ่ง พอออกจากฟรีเวย์มันเป็นเรือกสวนไร่นาไปอีก 13 ไมล์เลยนะ ไม่มีไฟ เป็นถนน 2 เลนเล็กๆ รถสวนไปมา มืดตื๋อ จะบอกว่า ตลอด 13 ไมล์ ไม่มีรถสวน ไม่มีรถนำหน้า ไม่มีรถตามหลังเลย โดดเดี่ยวโด่เด่ ไม่เคยรู้สึกกลัว แต่คืนนั้นมันรู้สึกวังเวง สยอง เสียวสันหลังชอบกล มันมืดดดด…. มาก สุดท้ายก็ถึงโรงบาลโดยปลอดภัย รอๆๆๆ รอข้างนอก รอข้างใน รอๆๆๆ ตามปกติ ไปถึงประมาณ ตี 4 ครึ่ง หมอเชี่ยนั่นเข้ามาเกือบ 6 โมง (วันที่ 26 แต๊งส์กีฟวิ่งแล้วนะ) เราก็พยายามยามจะอธิบายว่ามีไรๆๆ เกิดขึ้นบ้าง จากวันศุกร์ เชื่อมั๊ยคะ มันไม่ฟังเลยค่ะ จับลูกดูโน่นนี่ 30 วินาทีแล้วก็เดินพรวดออกไป แล้วชะโงกหน้ากลับเข้ามาบอกว่า เดี๋ยวให้พยาบาลเอายาแก้อ้วกมาให้กิน แล้วก็ไม่ได้เห็นหน้าไอ้หมอเชี่ยนั่นอีกเลย

page-485

นั่งรอเง่กกกกก…. กันต่อไป ไอ้ตี้ก็ดื้อซนมากมาย แม่มันก็ง่วง เพราะไม่ได้หลับได้นอนเต็มๆ อิ่มมาหลายวันแระ พอใกล้ๆ เจ็ดโมงอีพยาบาลคนแรกก็เข้ามา เอายาที่ไอ้หมอเฮงซวยบอกมาป้อน เป็นยาเม็ดเล็กๆ เค้าเอามาใส่กระพุ้งแก้มมัน แล้วก็เอานิ้วถูๆ บดๆ ให้ละลาย ไอ้ตี้ก็นั่งนิ่งให้เค้าทำอย่างง่ายดายซะงั้น แล้วอีนังพยาบาลก็บอกว่า มันจะออกกะแล้วนะ เดี๋ยวพยาบาลคนใหม่ก็จะมาดูแลเราต่อ ตายห่าสิ เปลี่ยนกะกันทีก็อีกเป็นชาติ กว่าพวกคุณเธอ เทอๆๆๆๆ จะเข้าร่องเข้ารอย เลยถามไปแล้วยังไงเนี่ย หมอสั่งยา หรือให้รอ ทำอะไรยังไงกันต่อ มันตอบว่า ไม่รู้สิ รอพยาบาลคนใหม่ละกัน แล้วยานี้ก็ให้รอประมาณ 30 นาที ก็ไม่รู้จะว่าไงแหละ นั่งเซ็งต่อไป จนเกือบ 8 โมงเช้า ก็มีพยาบาลคนใหม่มาแนะนำตัว แล้วก็ถามว่าลูกอ้วกอีกมั๊ย ก็บอกไปว่า..ไม่แล้ว เธอก็บอกว่า งั้นเดี๋ยวไปบอกหมอ หมอว่าไงเดี๋ยวจะมารายงานผล ซักพักใหญ่ๆ เกือบ 30 นาทีได้ ไปนานเชียวอี-5 แล้วก็กลับมาบอกว่า หมอให้กลับบ้านได้แล้วนะ แต่เดี๋ยวไปเอา release form ก่อน แล้วมันก็หายไปอีกนานมากกก…. กว่าจะพริ๊นต์เอกสารออกมาได้ มันยากเย็นมากหรือไงเน๊าะ สุดท้ายมันก็มา อธิบายว่าต้องทำโน่นนี่ ห้ามลูกกินอะไรนอกจาก clear liquid ไปอีก 24 ชั่วโมง สรุปว่าไม่ได้เจอไอ้หมอคนมาเปลี่ยนเวรใหม่ด้วย แต่ก็รีบแจ้นกลับบ้านแหละ ไม่รู้บิลจะออกมากี่ร้อยแหละ จริงๆ มันเป็นพันแหละ เพราะ 2 ER visits แต่ co-pay 20% ไม่อยากคิดอะไรแล้ว กลับบ้านดีกว่า อิชั้นยังมีภารกิจใหญ่รออยู่ซะด้วย บึ่งกลับบ้านอย่างรีบด่วน ถึงบ้านก็ 9 โมงครึ่ง แบกลูกที่หลับอยู่เข้าบ้าน พอวางลูกลง อิชั้นก็ต้องแจ้นตูดแป้นออกจากบ้านอีก

ภารกิจที่ว่าก็คือ อิชั้นต้องทำอาหารสำหรับ Thanksgiving Dinner ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่อิชั้นต้องทำอาหารประเพณีฝรั่งตามแบบฉบับของฝรั่ง แต๊งส์กีฟวิ่งปีแรกๆ ที่นี่ ก็จะโห่ไปรวมตัวกันที่บ้านยายของอีก๊อต คนโน้นทำไก่งวง คนนี้ทำแฮม คนนี้เอานั่นนี่ไป ฯลฯ ก็บอกๆ ตกลงกันว่าใครจะทำอะไร เอาอะไรไป ส่วนใหญ่ครอบครัวเราจะอาสาซื้อพัมพ์กิ้นพาย หนมปัง-ดินเน่อร์โรล สลัด และเครื่องดื่ม พอยายทวด “โนน่า” ลาโลกไป ครอบครัวนี้ก็รวมตัวกันไม่ติด ก็แยกย้ายกันไปแต๊งส์บ้านใครบ้านมัน กัดกัน ดีกัน อิชั้นไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวยังโดนลูกหลงบ่อยๆ 2-3 ปีให้หลังเราฝากท้องแต๊งส์กีฟวิ่งดินเน่อร์ให้เป็นธุระของ Boston Market พอใกล้ๆ วันก็ไปสั่งไปจ่ายตังค์แล้วก็ไปรับอาหารตอนเที่ยงๆ ในวัน “แต๊งส์” นั่นเลย อาหารก็จะมาแบบอุ่นๆ ถึงบ้านก็อุ่นอีกหน่อย รับทานกันได้เลย ทุกครั้งเราจะสั่งแฮมดินเน่อร์ + ไก่ดินเน่อร์ ไม่ใช่ไก่งวง นะคะ ไก่หมุนธรรมดาๆ จากร้านเค้านั่นแหละ พอมาปีนี้อิแด้ดดี้ก็เกิดอยากทำให้ครบๆ อยากให้อิชั้นทำไก่งวง หาาา….ไก่งวงเหรอวะ ตายห่า ไม่เคยศึกษาสตั๊ดดี้เลยแหละว่าเค้าทำยังไงกัน แต่เป็นคนหัวดีอยู่บ้าง กุไม่ทำร๊อก เดี๋ยวไปซื้อเค้าให้เสร็จๆ ไปเลย 5555 แต่จะให้ไปสั่งร้านดังแบบ Marie Callender's ก็แพงโคตรๆ Turkey Dinner ก็ร้อยต้นๆ Ham Dinner อีก 95 เหรียญ แล้วมีอิชั้นกะไอ้ตี้แค่ 2 คนนะที่อยู่บ้าน อิแด้ดดี้ต้องไปทำงานทุกวันไม่มีหยุดเพราะอยู่ในซี่ซั่น ก็สืบเสาะเปรียบเทียบหลายร้านหลายราคา มาเจอไอ้ซุปเป้อร์มาเก๊ตใกล้ๆ บ้าน ราคาไม่โหดเท่าไหร่ ชุดไก่งวงแค่ 49.99 ตอนไปสั่งก็ถามเค้าแบบคนบ้า “ย้ำคิดย้ำทำ” ปรุงสุกเลยใช่มั๊ย ปรุงสุกเลยใช่ป่าว แด๊กได้เลยแน่นะ อิคนขายก็จ้องหน้าแบบ อึ้ม….. 555 แล้วก็ตอบว่า เยส..แม่ม 555 Everything’s fully cooked just warm them up…ready to eat! เออ ดี ก็จ่ายตังค์ไป แล้วก็บอกเดี่ยวจะมารับเช้าวันแต๊งส์ฯ เลยนะ คุณๆ คะ เช้าวันนั้นน่ะ อิชั้นยังอยู่ที่โรงบาล 30 ไมล์ดาวน์เซ้าท์ไปเลยนะคะ แต่พอถึงบ้าน วางลูกลงเตียง ก็รีบไปรับอาหารที่สั่งไว้ในทันที กะไว้ว่า เดี่ยวไปรับมาแล้วจะของีบซะหน่อย เพราะไม่ได้นอนมามากกว่า 24 ชั่วโมงแล้ว พอตื่นแล้วค่อยอุ่น จัดโต๊ะ แพ๊คให้ผัวเอาไปฉลองแต๊งส์ฯ ที่ทำงาน แยกๆ กันฉลองตามปกติเหมือนทุกปี

page-486

พอไปรับไอ้กล่องปริศนามาแล้ว ถึงบ้าน เปิดดูซะหน่อย (ตอนที่รับกล่องมา คนขายบอก Instruction is in the box!) พอเปิดออกมาต้อง ผงะ! เฮ้ยยยย…. ไอ้ไก่งวง ยังโฟรเซ่นแข็งโป้ก นี่ดีนะที่เปิดดูก่อน ไม่วางไว้แล้วหนีไปนอนเลย พออ่านวิธีทำ วิธีอุ่น ก็อยากร้องไห้เลย ไอ้นกยักษ์นี่ต้องเอามา Thawed ในตู้เย็นธรรมดา 2-5 วันก่อนอุ่น ห้ามทิ้งไว้ในอุณภูมิห้อง เวลาอุ่นก็ใช้ไฟ 325°F อบไป 2 - 2.5 ชั่วโมง ตายห่าละกรู… ทำไงดีกะไอ้ก้อนนกยักษ์น้ำแข็ง อย่างที่บอกแหละ เป็นคนฉลาดมาก 5555 เลยเอาไอ้ไก่งวงไปอาบน้ำร้อนซะเลย แบกนกยักษ์ไปลงกะมังในอ่างอาบน้ำ เปิดน้ำร้อนล้วนๆ ลงไป พอมองดูแล้วก็ขำ 5555 Turkish Bath (Turky Bath) เป็นอย่างนี้นี่เอง โปรดดูรูปข้างล่างในอ่างสีเขียวแอ๋นนั่น 55555 แล้วก็ทิ้งไว้อย่างนั้น 2 ชั่วโมง เปิดน้ำร้อนให้ไหลเบาๆ ไปตลอด …. ลุ้นกันต่อไป อ้อในกล่องมีให้ครบนอกเหนือไปจากเจ้าไก่งวงแล้วก็มี Turkey Stuffing, Mashed Potatoes, Turkey Gravy, Cranberry Sauce, Green Bean Casserole, Butter Rolls, และ Pumpkin Pie ส่วนวิปครีมต้องซื้อเองต่างหาก เพราะเป็นหัวหน้าแผนกดิ้นรนมาตลอดชีวิต เลยลากซื้อแฮมมาด้วย 1 ก้อนเล็ก (4 ปอนด์) ไม่เคยทำเลยนะ แต่เห็นว่าลูกผัวชอบกินกัน แล้วก็ไม่ลืมลากสับปะรดกระป๋องมา 1 กระป๋อง กับ Cloves อีก 1 กระปุก

page-488

ระหว่างที่รอไก่งวงละลาย อิชั้นก็รีบใช่เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เป็นประโยชน์ รีบ “อบ” แฮม เพราะอยากประหยัด ไม่อยากเสียตังค์ซื้อแฮมดินเน่อร์ ซึ่งราคา 49.99 เท่ากัน เลยขอลองอบเอง อะไรๆ มันต้องมีครั้งแรกเสมอใช่ป่าว ถูก-ผิด ดี-ชั่ว ยังไงก็ลุ้นกันไป เริ่มจากเอาแฮมมาผ่าครึ่งซีกเลย คิดว่าอบเป็นก้อนโด่ๆ มันไม่น่าจะฉ่ำชุ่มอย่างที่ควรจะเป็น จากนั้นก็สาดน้ำตาลทรายแดงลงไป เขวี้ยงไอ้ cloves ลงไป ราดด้วยน้ำสับปะรด แล้วจบด้วยการโปะสับปะรดลงไป อบที่ 325°F ไป 2 ชั่วโมง ตอนที่อบนะ..บ้านหอมหวานๆ หอมแบบน้ำสับปะรดกรุ่นไปทั้งบ้านเลย พอเอาออกจากเตาอบไอ้สับปะรดก็เหี่ยวๆ ไปหน่อยนึง เอา อลูมิเนียมฟอยด์ปิด ตั้งพักไว้

page-487

ไปลากไอ้ไก่งวงที่อาบน้ำ turkish bath อยู่นานเชียว คงได้รีแล๊กซ์พอสมควรแล้ว 5555 แช่ทั้งถุงเลยนะ มันห่อมาแบบ vacuum-seal ก็เลยไม่ต้องห่วงว่ามันจะจืดจางอะไร จากนั้นตัดออกมาจากถุง วางบนตะแลงแกง จับมัดตราสังข์ 5555 ม่ายช่ายยยย… เอาเชือกที่เค้าให้มาคล้องในตำแหน่งที่เค้าบอกไว้ เวลาอบเสร็จจะได้ยกออกจากถาดที่อบมาวางบนจานที่ตกแต่งสวยงามได้โดยสะดวก แต่อิชั้นวางตั้งโต๊ะทั้งถาดอลูมิเนียมฟอยด์นั่นเลย จากนั้นเอาน้ำมันพืชชะโลม มิใช่แทนนิ่งออยนะคะ 555 เอาใส่เตาอบ อบไปเลย 2 – 2.5 ชั่วโมง อิชั้นก็นั่งๆ นอนๆ ดูมีวี เผลอหลับไป แล้วสะดุ้งตื่น ก่อน timer ที่ตั้งไว้ 2.5 ชั่วโมงซะอีก โห…. อีไก่งวงของอิชั้น มันเกรียมซะมากมายเลยค่ะ กลายเป็น Turkey Jerky เลยค่ะ ลืมมันไว้ใน Tanning Bed นานไปหน่อย เอาวะ ครั้งแรก ผิดเป็นครู (ไม่รู้จะมีครั้งที่ 2-3-4-5 หรือป่าว ผิดไปเรื่อยๆ เป็นครูใหญ่ ผู้อำนวยการ ไม่นานก็คงได้เป็น อธิการบดี 5555) จากนั้นก็ทะยอยเอาไอ้พวกเครื่องเคียงมาอบที่ละถาด สองถาด เสร็จสรรพ ตั้งโต๊ะ มีแขกผู้มีเกือกมารับทาน 2 คน คือไอ้ตี๊ฟ พี่เขยใจม๋า กับเมีย (ก็ไอ้พวกอินลอว์ของอิชั้นมันกัดกันนุงนัง ไอ้คู่นี้ไม่มีที่ไป อิก๊อตก็เกิดใจงาม โทรไปชวนเค้า ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่อยู่กินด้วย) ก็กินๆ คุยๆ กันไป ก็ถือว่า having good time พอสมควร อิชั้นเองง่วงเพราะอดนอนจนรู้สึกพะอืดพะอม อยากอ้วกอย่างบอกไม่ถูก แต่พอฟาดเบียร์เข้าไป 2-3 ขวด กระปรี้กระเป่าขึ้นมาเชียว คุยกะพี่สะใภ้ชาวจีนที่อ่อนวัยกว่าเยอะ สนุกสนานกัน 2 คน รู้เรื่องมั่ง-ไม่รู้เรื่องมั่ง ก็คุยกันอยู่เป็นนาน พอใกล้ 2 ทุ่มก็เลยจัดสำรับไปส่งให้อิก๊อตที่ที่ทำงาน สองคนผัวเมียก็เลยลากลับไป

page-489

ไก่งวงที่อบจนแห้งแก่ก ไม่มีใครกิน วันนั้นก็แล่แจกกันคนละนิดละหน่อยพอเป็นพิธี เหมือนกิน cardboard เลย 5555 ก่อนเข้านอน (ทั้งๆ ที่โคตรง่วง) ได้ตัด แคะ แกะ และเนื้อนกยักษ์นั่นออกจนเกลี้ยงเกลา เก็บแช่ฟรีซเซ่อร์ไว้ พอบ่ายๆ วันเสาร์นั่งรอให้เค้าเอาอีรอมมาส่งคืน ก็เลยหุงข้างเหนียวแล้วเอาเนื้อไก่งวงที่แช่แข็งไว้ออกมาทำไก่งวงคั่วเค็ม ทำแบบหวานๆ เค็มๆ เพราะรอมมี่ชอบ เคยทำเวลามีไก่หมุนที่ซื้อมากินไม่หมดแกะเนื้อแล้วแช่เก็บไว้ พอรวมได้เยอะหน่อยก็เอามาทำไก่คั่วเค็มให้ลูกกินเล่น แต่ไม่เคยทำไก่งวงคั่วเค็มเลยนะ ทำไปทำมา คนไปคนมา กลายเป็นไก่งวงหยอง 5555 คงเก็บไว้กินเล่นได้หลายวัน ดีกว่าทิ้งเน๊าะ ถ้าหมาแจ๊คสันยังอยู่ ก็ไม่ได้กินกันหรอก ไอ้ไก่งวงหยองเนี่ย 55555

ยังไงก็ Happy Thanksgiving ย้อนหลัง แล้วก็เตรียมตัว Happy Holidays กันนะคะ ปีนี้บ้านเรายังตกลงกันไม่ได้เลยว่าจะตั้งต้นคริสต์มาสหรือป่าว ปกติเราจะลากต้นคริสต์มาสและเครื่องประดับประดาออกมาเตรียมไว้ แล้วเริ่มตั้งต้นและตกแต่งกันในคืนแต๊งส์กีฟวิ่งเป็นประเพณีปฏิบัติทุกปี ปีนี้ครอบครัวเราดู อืดๆ หนืดๆ งงๆ เป็นบ้ากันไปแล้วมั๊ง 555555 ลงเอยยังไงแล้วจะมาเล่าให้ฟังค่ะ

xoakst-happyholidays2

If you cannot get rid of the family skeleton,

you may as well make it dance.

ProudMommy-01

Friday, November 13, 2009

Where the Wild Things Are

wtwa

ช่วงที่รอมมี่ไปแค้มป์ สามีอิชั้นต้องไปหาหมอเพราะเจ็บป่วยนิดหน่อย เลยลาป่วยซะ 1 วัน อิตาคนนี้ไม่เคยไปทำงานสาย ไม่ค่อยลาป่วย นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เพราะไม่ได้เจ็บป่วยหนักหนาอะไร หลังจากพบแพทย์ก็เลยแวะไปช๊อปปิ้งกันนิดหน่อย กินอะไรอร่อยๆ กัน พอจะขับรถกลับบ้านเลยชวนกันไปดูหนังเด็ก (เล็ก) จริงๆ แล้วอิพ่อมันอยากดูเรื่อง Astro Boy ส่วนอิแม่มันอยากให้ไอ้ตี้ดูหนังที่เค้าสร้างจากหนังสือเยาวชนคลาสสิค อิแม่ชนะอยู่แล้ว 5555 แถมเป็น Big Fan ของพี่ James Gandolfini (Tony Soprano) ซึ่งเป็นผู้ให้เสียงไอ้สัตว์ประหลาดที่มีบทนำ ชื่อ Carol ในเรื่องนี้ด้วย (ไอ้เอสโตรบอยเนี่ย ใช่ที่เป็นหนังการ์ตูนทีวีที่ดูกันตอนเด็กๆ เรื่องเจ้าหนูปรมาณู ที่มีสิงโตผู้ช่วยชื่อลีโอ ใช่หรือปล่าวพี่อ้วน…. ช่วยตอบที)

where-the-wild-things-are

Where the Wild Things Are เป็นหนังสือที่เด็กๆ ทั่วโลกได้อ่าน ไม่ว่าจะอ่านที่บ้านหรือที่โรงเรียน หลายๆ แม่ดิ้นรนซื้อหามาให้ลูกได้อ่าน ได้มีในครอบครอง กลัวลูกจะตกเทรนด์ กลัวว่าตัวเองจะเป็นแม่ไม่มีรสนิยมวิไล กลัวว่าจะเป็นแม่ประเภท uneducated 5555 เลยต้องพากันซื้อหน้งสือ classic & well-known children books อย่างพวกหนังสือของ Dr. Seuss ที่เป็น Bestselling of all time 555 เช่น Green Eggs and Ham, The Cat in the Hat, and One Fish Two Fish Red Fish Blue Fish เป็นต้น หลายๆ แม่ value การอ่าน หลายๆ แม่ซื้อมาไว้ประดับบ้านและตู้หนังสือเพื่อเสริมบารมี อิชั้นเป็นแม่ที่ส่งเสริมการอ่าน แต่ทุนทรัพย์มีน้อย อันไหนพอซื้อได้ก็จะซื้อ ถ้าแพง…ก็ฝัลลลล์…ไปเถอะลูก หนังสือที่จะซื้อให้ลูก อิชั้นต้องสกรีนก่อน หนึ่งปัจจัยในหลายๆ ปัจจัยที่อิชั้นนำมาร่วมตัดสินเวลาซื้อหนังสือให้ลูกคือ รูปภาพสวย เจริญหูเจริญตา นอกเหนือไปจาก เนื้อหา แง่คิด คุณภาพ และราคาเป็นลำดับต้นๆ เพราะฉะนั้นบ้านเราไม่มีหนังสือ Where the Wild Things Are และ Dr. Seuss’s Bestselling books แน่นอน รูปภาพและคุณภาพมันไม่สวยงามเอาเลยเชียว แต่ไม่ต้องกลัวว่าลูกสุดที่รักของอิชั้นจะพลาดหนังสือพวกนี้ เพราะมีให้เห็น ให้อ่าน ได้ทุกโรงเรียน ทุกห้องสมุด หรือบางทีพบได้ตามคลีนิคต่างๆ ด้วย โชคดีที่ลูกชอบอ่านหนังสือ ทริปช้อปปิ้งที่ลูกชอบและใช้เวลาอยู่ได้นานๆ คือ ร้านหนังสือ Borders รองลงมาคือ Barnes & Noble และอนุญาตให้ซื้อหนังสือได้ 1-2 เล่มเท่านั้น เพราะแม่…บ่อจี๊ 5555

where-the-wild-things-are-poster-1

ด้วยสติปัญญาที่อิชั้นมีอยู่บ้าง….เท่าที่มีนั่นแหละ 555 กับไอ้หนังสือที่กล่าวข้างต้น (โดยเฉพาะของด๊อกเต้อร์ซู้สส์) ดิฉันได้อ่าน แล้ววิเคระห์ตามอำเภอใจและอิงหลักวิชาการ (Analytical Reading ที่เล่าเรียนมา 555) หรือในแง่จิตวิเคราะห์ เนื้อหา คุณประโยชน์ psychology หรือ symbolism พออ่านแต่ละเล่มจบแล้ว มันไม่ให้แง่คิดดีๆ สร้างสรรค์ หรือ ให้แง่คิด แบบ… นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 555 ที่เด็กๆ จะได้บ้างก็คือคำคล้องจองรูปและเสียง rhymes แต่ความคิดและมุมมองของคนเราต่างกัน ไทย จีน แขก ฝรั่งก็คิดต่างกัน อิชั้นคิดว่าฝรั่งให้ความสำคัญถึงเรื่องจินตนาการ เพ้อฝันมากกว่าคนไทย ที่เน้น เหตุและผล คุณและโทษ มากกว่า อิชั้นอ่านไอ้หนังสือ Where the Wild Things Are แล้วก็ได้แค่ There’s nothing really, Max, he’s just a problem child..!! Please don’t take it personal…it’s just my opinion.

wildthings

จากหนังสือ รูปและเรื่อง ไม่น่าสนใจเลยสำหรับอิชั้น แต่สำหรับเด็กๆ อิชั้นไม่ทราบ นอกจากเด็กโตที่บ้าน ซึ่งได้อ่านนิทานเล่มนี้หลายรอบ คำตอบที่ได้ก็คือ “ไม่เห็นสนุกเลย” 5555 พอถามว่าอยากดูที่เค้าทำเป็นหนังมั๊ย แม่จะพาไปดู คำตอบที่ได้คือ “Nah ah” ที่อิชั้นพาไอ้ตัวเล็กไปดูก็เพราะคิดว่าลูกอาจชอบหรือสนใจ ปรากฏว่า… ไอ้ตี้ไม่หันไปมองจอหนังเลย สนุกสนานกับเก้าอี้ที่พับได้ เอ็นจอยข้าวโพดคั่วและเครื่องดื่ม เล่น armrest ที่พับขึ้นลงได้ เดินเล่นไปมา ไม่หลับเลย เจ้าก๊อตตี้ไม่ได้ก่อกวนผู้ชมคนอื่นๆ ในโรงหนังเลย ลูกไม่ได้ส่งเสียงดังอะไร แล้ววันนั้นเป็นวันจ้นทร์ โรงหนังโล่งโจ้ง มีอีกครอบครัวนึง แม่กับลูกรุ่นจิ๋ว รวมแล้วหนังรอบนั้นมีผู้ชมแค่ 7 คน รวมเรา 3 คนพ่อแม่ลูกด้วยนะ ส่วนอิพ่อมันหลับกรนคร่อกตั้งแต่กลางๆ เรื่องจนจบ อิแม่มันก็ดูๆ ไปงั้นๆ ชื่นชมงานสร้างเค้า เป็น production ที่ใช้ได้ทีเดียว คอสตูม ตัวสัตว์ประหลาดทั้งหลายทำรายละเอียดได้ดี ขนเกรอะกรัง รุงรัง ดูสกปรก มองแล้วน่าจะเหม็นสาป มีจมูกชื้นๆ เหมือนหมูหมาแมวจริงๆ บางทีมีขี้มูกไหล ตา จมูก ปาก ขยับเขยื่อน ได้เหมือนจริง แต่มาสะดุดตาสะดุดใจกับ 1 ตัวละคร 555 ขอขำก่อน 555 เจ้าตัวนั้นคือ The Bull เป็นตัวที่ชอบ isolated จากกลุ่มตลอด แต่ก็ตามๆ เค้าไปนะ ทำอะไรก็ทำด้วย เงียบๆ สังเกตการณ์ observed จนเหมือน antisocial ไม่มีบทพูดจา เหมือนใครคนหนึ่งที่อิชั้นรู้จักเป็นอย่างดี กร๊ากกก……ผัวของอิชั้นเองเจ้าค่าาา…. 55555

where-the-wild-things-are-posters

“Where the Wild Things Are” is a 1963 children's picture book by American writer and illustrator Maurice Sendak, originally published by Harper & Row. The book has been adapted into other media several times, including an animated short, an opera, and, in 2009, a live-action feature film adaptation and video game. As of 2008, the book has sold over 19 million copies worldwide according to HarperCollins.

Plot : The book tells the story of Max, who one evening plays around his home, "making mischief" in a wolf costume. As punishment, his mother sends him to bed without supper. In his room, a mysterious, wild forest and sea grows out of his imagination, and Max sails to the land of the Wild Things. The Wild Things are fearsome-looking monsters, but Max conquers them "by staring into their yellow eyes without blinking once", and he is made "the King of all Wild Things", dancing with the monsters in a "wild rumpus". He soon finds himself lonely and homesick, and he returns home to his bedroom, where he finds his supper waiting for him, still hot.

THANKS >> http://en.wikipedia.org/wiki/Where_the_Wild_Things_Are

OohAraiwa-12