Friday, November 30, 2012

I was caught in the very bad traffic caused by gas line rupture on Highway 99



วันนี้ตื่นแต่เช้าตามปกติเหมือนกับวันที่ลูกๆ ต้องไปโรงเรียน แต่วันนี้ต้องพาลูกบึ่งไปเฟสโน่ เพราะทั้ง 2 คนมีนัดทำสะอาดฟันประจำ 6 เดือน ส่วนอิชั้นเองอาจต้องถูกถอนฟันทิ้ง 1 ซี่ ตั้งใจว่าจะไปต่อรองเก็บฟันซี่นั้นเอาไว้ เพราะทั้งรักษารากฟันและทำคราวน์ครอบไว้แล้ว หมดไปหลายแล้วนิ แต่มันปวดๆ หายๆ อยู่เรื่อยๆ หมอส่งต่อไปสเปเชี่ยลิสต์ endodontist ซึ่งสรุปว่ารากฟันแง่งนึงเกิด root fracture ไม่ควรเก็บไว้ ฮ่วย ....โอ้ย.... กูก็ว่ากูเนี่ยดูแลรักษาสุขภาพฟันดีทีเดียว ที่จะไปต่อรองกับหมอคือ ไม่ถอน แต่จะทนปวดๆ หายๆ ได้อีกซักแค่ไหน หรือถ้าถอน ทำครอบเป็น bridge แล้วประกันจะยอมจ่ายหรือปล่าว เท่าไหร่ อย่างไร สรุปว่าประกันจะยอมจ่ายส่วนนึง แต่ยังไม่ทราบจะนวนเงินที่แน่นอน หมอจัดการพิมพ์ฟันไว้ เผื่อทำสะพานฟัน แล้วก็ถอนฟันเจ้าปัญหาออก ลูกๆ ก็ทำสะอาดฟันแบบ deep clean กัน ไอ้ตี้ฤทธิ์เยอะ ยุ่งยากกว่าก่อน ทั้งต่อต้าน ทั้งต่อรอง และคำถามบาน.... หมอและผู้ช่วยคงเซ็ง

ไปดูข่าวตรงนี้ค่ะ http://abclocal.go.com/kfsn/story?section=news/local&id=8904603







พอออกมาจากร้านหมอ ก็ถามลูกๆ ว่าหิวมั๊ย ส่ายหน้าทั้งคู่ เพราะโดยโปะแปะฟลูออไรด์ gunky fluoride เคลือบฟันไว้ จากหนืดๆ แล้วกลายเป็นฟิล์มเคลือบแข็งๆ เลยยังไม่อยากกินกัน ปกติหมอจะบอกห้ามกินหรือดื่มอะไรๆ ภายใน 45 นาที พอลูกบอกไม่หิว อิชั้นก็ฮ่อออกมาที่ฟรีเวย์หวังว่าจะกลับถึงมาเดร่าโดยเร็ว เอาลูกๆ ไปส่งโรงเรียน และตัวเองจะได้รีบไปทำงาน ขับอยู่บนฟรีเวย์ คุยกับลูกๆ ฟังเพลงคริสตมาส (ยังไม่ทันเบื่อ 555) ทันทีทันใดก็ต้องเบรคโครม..ม..ม... รถติดหนึบ ค่อยๆ ขยับ ไปจนถึงนิ่งไม่ขยับ นานนนน......มาก แถวนี้ไม่มี จส100 ด้วย (เค้าคงมีแหละ..แต่ไม่เคยฟัง) เลยกูเกิ้ลดูว่าเกิดอะไรขึ้น โอ้ย.... มันเกิดท่อก๊าซแตก ท่อก๊าซระเบิด อะไรประมาณนั้น บริเวณ Avenue 12 ซึ่งขณะนั้นอิชั้นและลูกๆ อยู่ที่ Avenue 7 ก็ค่อยๆ กระดึ๊บ อยู่เป็นนาน สองนาน กว่าจะถึง Avenue 9 ซึ่งแยกตรงนั้นมีทางออกที่ไป รพ.เด็ก ซึ่งอิชั้นคุ้นเคย ตั้งใจว่าจะออกตรงนั้นแล้วขับอ้อมโลกกลับบ้าน ลืมบอกไปว่าฝนตกหนักบ้างเบาบ้างตลอดทางค่ะ และที่แย่ที่สุดคือปวดฟันมากกกกก.... ปวดแบบอยากร้องไห้เลย เพราะยาชาเริ่มหมดฤทธิ์ the anesthetic was wearing off น้ำดื่มก็ไม่มีซักขวด เลยกินยาแก้ปวดที่พกประจำก็ไม่ได้ แงๆๆๆๆ ปวดๆๆๆๆ

พอถึงแอเวนู 9 ก็เป็นรถตำรวจปิดกั้นห้ามผ่านฟรีเวย์ ถึงได้รู้ว่า ...แฮ่ ...มิน่าล่ะถึงได้ขยับเขยื้อน ไม่ได้ เพราะเบียดกันเข้าทางเลี่ยงนี่เอง ต้องอธิบายก่อนว่า ฟรีเวย์-99 หรือชื่อเป็นทางการคือ US 99 เป็นถนนสายหลักที่สำคัญและยาวมากๆ ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ดังนั้นจะมี 18-wheeler รถบรรทุก รถใหญ่รถยักษ์ รถเล็กรถจิ๋ว รถห่ารถเหว เยอะแยะหนาแน่น ที่เยอะที่สุดคือ 18-wheeler และ convoy ซึ่งปกติก็ทำให้รถกระป๋องอย่างอิชั้นห่อเหี่ยวมากๆ เวลาเข้าไปอยู่ใกล้ๆ แต่ๆๆๆ แต่วันนี้ อิชั้นต้องไปเข้าแถว ปิดหน้า ปิดหนัง บังซ้าย บังขวา รอบล้อมไว้ด้วยสิงห์รถบรรทุก เวลาขับตามปกติเจอพี่ใหญ่บนถนนก็อึดอัดจะแย่แล้ว พอกระดึ๊บ กระดึ๊บ หยุดๆ อยู่ท่ามกลางฝูงรถยักษ์ ....กู...อยาก...ตายยยยย..... ในบรรยากาศที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เราอยู่ที่ไหน จะไปที่ไหน เมื่อไหร่จะถึง ฝนก็ตก แล้วก็ปวดฟันบางตายอีก ลองคิดดูละกัน เฮ่อ.... จอดนิ่งในสายฝน มองไปข้างหน้ารถเข้าแถวสุดลูกหูลูกตา มองไปข้างหลังก็ รถ รถ รถ รถเป็นร้อยๆ จอดนิ่งเป็นแถวจนสุดสายตาเหมือนกัน


คราวนี้พอมาถึง แอเวนู 9 ก็เบี่ยงเข้าแถวตามๆ พี่ใหญ่เค้าไปเรื่อยๆ เข้าป่าเข้ารกแบบไปไหนไปกัน รถตำรวจที่อำนวยความสะดวกคอยบอกทาง Detour ก็มีเห็นไม่กี่คัน (ถ้าเจ้าหน้าที่ทำงานแบบนี้ที่กรุงเทพฯ ตายแน่ รถติดไปถึงสุไหงโกลก แหงๆ 555) ไอ้พวกที่เบี่ยงมาด้วยกัน ร้อยละ 99 ก็ไม่รู้หรอกว่าถนนที่ตามๆ กันมาจะไปโผล่ที่ไหน อย่างไร เพราะพวกนี้เค้าขับข้ามรัฐ เค้าไม่รู้ถนนหนทางตามเรือกสวนไร่นาแถวนี้หรอกค่ะ แล้วไอ้ทางที่เลี่ยงไปกันก็เป็นสวนผลไม้ ไร่นา (แถวนี้เป็น farmland ทั้งนั้นค่ะ) ดูเวิ้งว๊าง เหมือนกำลังหลงทาง แล้วยังติกแง่กไม่ขยับอีก อยู่นิ่งๆ แบบนั้นนานมากกกกก..... อิชั้นทนไม่ไหวเลยกลับรถขับย้อนศร คาดว่าเป็นการตัดสินใจถูก


แต่ๆๆๆ ขับปรู๊ดๆ ยอนขบวนเค้ามาถึงสะพานข้ามฟรีเวย์ มองลงไปที่ฟรีเวย์โล่งทั้ง northbound และ southbound ไม่มีรถซักคันบนฟรีเวย์ พอข้ามสะพานมาได้ รถบรรทุกและรถอื่นๆ เป็นร้อยๆ เข้าแถวกันแง่กอยู่ สรุปว่าไม่ว่าจะไปทางไหนก็สภาพเดียวกันหมด เพราะรถทั้งขาขึ้นขาล่อง ขาเข้าขาออกจากฟรีเวย์ ร่วมหมื่นคันต้องเลี่ยงออกมาจากฟรีเวย์ ถนนซอกซอยไหนๆ รถก็เต็มไปหมด อิชั้นก็ต้องลัดเลาะตามเค้าไป กว่าจะวนเข้าเมืองมาเดร่าได้ คืบคลานไปจนถึง แอเวนู 15 (ไม่เห็นในรูปค่ะ) แล้วถึงหาทางกลับเข้าเมืองได้ ขับรถ (เลีย) เบรค จนขาจะเป็นง่อย เลื้อยไปมาอยู่ 2 ชั่วโมงครึ่ง ระยะทาง 20 กว่าไมล์ น้ำมันหมดไปเกือบๆ ครึ่งถัง ดีว่า Gas Fairy เติมน้ำมันให้เมื่อคืนจนเต็มถัง ทีแรกตั้งใจว่าจะขับไปถึงเฟสโน่แล้วขากลับถึงจะแวะเติมน้ำมัน แต่พ่อบ้านเห็นว่าต้องตื่นแต่เช้าแล้วพาลูกๆ ไปหาหมอฟัน เลยเอารถไปเติมน้ำมันให้ ไม่อยากนึกเลย ...ถ้าเมื่อเช้าออกจากมาเดร่าด้วยน้ำมัน 10% ของถัง ตาย ตาย ตาย ....


ทำแผนที่ให้ดู เส้นแดงคือที่ส่วนที่เค้าปิดการจราจร ห้ารถผ่าน ประมาณ 12 ไมล์ค่ะ เพราะสาเหตุ Gas line rupture shuts down Highway 99 in Madera County ส่วนเส้นสีเขียวคือ actual detour route ที่อิชั้นและลูกๆ ขับกลับบ้านวันนั้น เส้นสีม่วงคือ virtual detour route เส้นทางที่เรารู้สึกหรือเพ้อเจ้อไปเอง เพราะมันช่างเนิ่นนาน ทุกข์ทรมานเหลือเกิน 55555

Thursday, November 15, 2012

My Journey with Humira: Delivery Service

วันนี้มียามาส่งที่บ้าน อยากให้ดูแพจเกจ หีบห่อ มันช่างสิ้นเปลืองและก่อมลพิษต่อโลกเหลือเกิน เคยจะเม้าเรื่องนี้นานแล้ว พอเค้ามาส่งคราวนี้ อิชั้นเป็นคนเซ็นต์รับไว้เอง เลยถามไปว่า.. "นี่ๆๆ แก จะเอากล่องเก่ากับข้าวของเครื่องแช่ทั้งหลายกลับไป รียูส รีไซเคิ่ล หรือ รีๆ ข้าวสาร มั๊ยแก" มันยิ้มมาพร้อมกับส่ายหน้า โน-แต่ง-กิ๊ว ... อิชั้นก็เลยเดินหัวฟูกลับเข้ามาเปิดกล่อง เพราะจะรีบเอายาแช่ตู้เย็น แกะไป ก็ยั๊วะไป เลยถ่ายรูปมาให้ดูกัน
 Humira Delivery
เปิดกล่องออกมา เจอกล่องโฟม เปิดกล่องโฟม เจอถุงลมโป่งพอง ใต้ถุงลมโป่งพอง เจอถุงไอ๊ซ์แพ๊ค (Extra Cold Gel Ice Pack) ใต้ถุงไอ๊ซ์แพ๊ค เจอแผ่นเป๊าะแป๊ะ ใต้แผ่นเป๊าะแป๊ะ เจอถุงซิป ในถุงซิป เจอกล่องยา ใต้ถุงยา เจอแผ่นเป๊าะแป๊ะกันกระแทกอีก ใต้แผ่นเป๊าะแป๊ะ เจอถุงไอ๊ซ์แพ๊ค ใต้ถุงไอ๊ซ์แพ๊ค เจอถุงลมโป่งพองอีก ...โอ้..แม่เจ้า อิชั้นเก็บเรียงไว้ให้อย่างเรียบร้อย สามารถนำไปใช้ได้เลย
แต่เรื่องหยูกยาที่นี่มันบ้าบอมากค่ะ คือทุกๆ คนต้องเซฟตัวเอง บริษัทยาก็ต้องเซฟตัวมันด้วย กฏเหล็กของเค้าก็คือ อะไรที่ออกไปจากจุดจำหน่าย ร้านยา คือหลุดจากมือคนที่รับผิดชอบแล้ว ถ้าผิดพลาด ไม่ถูกต้อง หรือเป็นที่ไม่ต้องการ ผู้บริโภคนำกลับไปคืน ไปเปลี่ยนล๊อต ไปรีฟันด์ ไปห่าเหวอะไรก็แล้ว เพียงแค่ออกไปจากจุดๆ นั้น ลับตาเจ้าหน้าที่เพียง 1 นาที เค้าก็เอาไปทิ้งเลยค่ะ ถูกแพงอย่างไรก็เหอะ ทิ้งแม่งโลดดดด.... เพราะเค้ากลัวว่าจะถูกปนเปื้อน contaminated เพราะคนแปลกๆ ชั่วๆ มันมีอยู่ทั่วไป เอาไปขี้รดตดใส่ ทำอุบาทว์อย่างไร...ใครจะไปรู้ เอาไปจัดสรรให้คนอื่นเค้ากินแล้วป่วย ง่อย ตายห่าตายโหงไป บริษัทยา หมอยา ก็ต้อง ship หาย ตายตกตามกันไปอีก เพราะประเทศนี้..เรียกได้ว่า sue country มันมีคนที่ซูเป็นอาชีพเยอะมาก หาเลี้ยงชีพด้วยการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย และซูไปได้ซะทุกเรื่อง
roche

ทั้งหมดที่เล่าไปคงพออธิบายให้เข้าใจได้ว่า..ไอ้กล่องบ้าบอที่อิชั้นเก็บไว้ เค้าไม่กล้าเอากลับไปใช้ใหม่หรอกค่ะ บริษัทยาก็บริษัทนึง บริษัทแพ๊คก็บริษัทนึง บริษัทขนส่งก็บริษัทนึง บริษัมจัดส่งก็อีกบริษัทนึง การเอากล่องกลับไปมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ไปถึงต้นตอ ค่าจัดการอาจแพงกว่าการซื้อของใหม่มาใช้ อิชั้นจะเก็บกล่องโฟมไว้แจกกับข้าวญาติโยมแถวนี้ละกัน เดือนละกล่อง ปีนึงก็ครบโหลพอดี จะเก็บเอาไว้ไปซื้อกับข้าวกับปลา..ก็คงไม่เวิ๊ก เพราะกล่องกระจุ๋งนึง ที่นี่แพ๊คหมูหมากาไก่..มันช่างมโหฬาร ปกติช่วงหน้าร้อน อิชั้นต้องใช้คูลเล่อร์ใหญ่ใส่ท้ายรถเวลาไปซื้อกับข้าว เพราะระยะ 30-40 ไมล์ กับอุณหภูมิร้อยกว่าๆ เนื้อสัตว์แทบเน่า ผักต่างๆ ดูไม่จืดเหี่ยวเฉามาในรถเลยค่ะ ก่อนออกจากบ้านก็เอาพวกไอ๊ซ์แพ๊คใส่ในคูลเล่อร์ซัก 3-4 แพ๊ค เวิ๊กค่ะ แต่ก็ต้องรีบไปรีบมานะ อย่าเผลอไปแต๋นที่ไหนนานๆ เพราะไอ้พวกไอ๊ซ์แพ๊คเนี่ยมันไม่ “เย็น-แข็ง” ฟอ-เอ๊ฟ-เว่อ ค่ะ ไม่คงกะพันเหมือนดรายไอ๊ซ์ แค่นานกว่าน้ำแข็งปกติหน่อยนึง

แต่ไอ้ถุงไอ๊ซ์แพ๊คเนี่ย บ้านนึงจะต้องการซักกี่ถุงกัน เพราะต้องเก็บไว้ในฟรีซเซ่อร์ มันกินที่นะคะ ก่อนที่อิชั้นจะต้องใช้ยาฉีด Humira ตัวนี้ ก็ไม่เคยใช้บริการ special delivery แบบนี้ ถุงไอ๊ซ์แพ๊คเก่าที่มีอยู่..จะขนาดบึ้มกว่านี้มาก มีเก็บไว้ใช้อยู่ 4 ถุงแล้ว เอามาจากที่ทำงานของพ่อบ้านค่ะ จากนี้ไปไอ้พวกถุงจ้อบจิ๊บที่มากับยา (ขนาด 8” x 6” หนักซัก 1 กิโลได้) คงต้องหาทางเอาไปทิ้ง ยังนึกไม่ออกว่าจะทำยังไปดี เซ็งว่ะค่ะ ไม่รู้มันมีอันตรายต่อสภาพแวดล้อมหรือปล่าว การกิน ดม ดูด เข้าไปคงไม่ตายหรอก เพราะเค้าเอามาใช้ส่งพวกอาหารและยาได้ ชิมิชิมิ

จากข้างบนคงจะทำให้มองภาพรวมๆ ออกว่า ทำไมราคายาที่ถึงแพงมากมายเหลือเกิน มัน ridiculously expensive เลยนะคะ อย่างยาที่อิชั้นใช้ฉีด หลอดละ 40 มล. เดือนละ 2 หลอด ราคาท้องตลาดน่ากลัวโคตรๆ ไปดูราคาเป็นไอเดียที่ตรงนี้ ขอบอกไว้ก่อนว่า ราคาที่เอามาให้ดูเป็นของแคนาดา ซึ่งไอ้กันจะนิยมสั่งซื้อกัน เพราะราคาถูกกว่าในประเทศ http://www.pharmacychecker.com/compare-drug-prices-online-pharmacies/Humira-40+mg&2520.8+ml/52616/116248/
แต่อิชั้นโชคดี จากปกติที่ บ.ประกันจะจ่ายรักษาพยาบาล ค่ายา ให้ 80% จากบิลเต็มๆ เรารับผิดชอบแค่ 20% สำหรับยาตัวนี้ หมอของอิชั้นต่อรองกับ บ.ประกัน อยู่หลายเดือน ให้อิชั้นทดลองใช้ยาหลายตัว กว่าประกันจะยอมให้ใช้ยาตัวนี้ คือเค้าจะมีตารางการใช้ยาสำหรับรักษาแต่ละโรค ใช้ยา A อาการไม่ดีขึ้น ถึงจะอนุญาตให้ใช้ยา B ใช้แล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ถึงจะยอมให้ใช้ยา C ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะยาที่นี่ส่วนใหญ่โคตรแพง (เคยทำงานบริษัทยายักษ์ใหญ่อยู่หลายปี พอทราบเหตุผลและที่มาที่ไปอยู่บ้าง เมื่อ 2 ทศวรรษก่อน มีสองบริษัทยายักษ์ใหญ่ร่วมกันปั่นราคายา ลงเอยด้วยการถูกฟ้อง จ่ายค่าปรับเป็นพันล้าน เน๊อะๆๆๆ) กลับมาที่ฮิวมิร่ากับอิชั้น ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ $2,200.-/เดือน (2 โดส) บ.ประกันคิดคำนวนยังไงไม่รู้ ไม่ยอมจ่าย 80% คือหักลบแล้วอิชั้นต้องจ่ายเอง $836.-/เดือน ถ้ามีเงินเหลือเฟือขนาดนั้น อิชั้นจะยอมเกาขี้เรื้อนแล้วเอาตังค์ไปผ่อนรถในฝัลลลล์ ..ไม่ดีกว่ารึ 555
  abbottlabs

พอเห็นตัวเลข co-pay ที่อิชั้นต้องจ่าย ก็ร้อนรุ่มกลุ้มใจ คุยกับหมอ แกๆๆๆ ชั้นไม่ใช้หรอกมันแพง หมอก็แนะนำให้ติดต่อบริษัทยา เพราะเค้ามี Patient Protection Plan (มะช่ายบักโอบาม่าแคร์นะยะ อันนั้น ถ้าไม่ทำงานทำการ ไม่ต้องเสียภาษี งอมืองอตีนกินอยู่ฟรี หยูกยาหาหมอก็ฟรี คนทำงานก็เสียภาษีกันจนหลังอาน ค่าหมอค่ายาก็ขูดจนเลือดกระฉูด บ้าบอมาก มันสนับสนุนให้คนขี้เกียจ เอาภาษีคนทำงานงกๆๆ ไปเลี้ยงดูปูเสื่อพวกไม่ทำงาน) พอโทรคุยกับบริษัทยา (Abbott Laboratories) จัดการกรอกข้อมูลตามที่เค้าแนะนำ สุดท้ายท้ายสุด co-pay เพียงแค่เดือนละ $5.-ค่ะ เอวัง...ด้วยประการฉะนี้...แหละ โยมมมมมม

sleep,drug,sleep




Tuesday, November 13, 2012

It's Beginning To Look A Lot Like Christmas

ฟังเพลงคริสต์มาสมาได้ 2 อาทิตย์แล้ว คือได้ยิน ได้ฟัง แบบยัดเยียด จากสือต่างๆ รอบๆ ตัวในชีวิตประจำวัน วิทยุในรถ โทรทัศน์ และตามห้างร้านต่างๆ รู้สึกว่ามันเร็วไปนิด อะไรกัน...เดี๋ยวนี้ต้องฟังเพลงคิดสะมาดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเริ่มต้นเลยเชียวหรือ มันก็เพราะดีนะ raise Christmas Spirit กันตั้งแต่เนิ่นๆ เลย ฟังกันไปจนถึงคืนวันที่ 25 ธันวา ...ร่วมๆ 2 เดือน นี่มันนานไปหน่อยนะ แรกๆ ก็เพราะ สเนาะหูดี เพราะไม่ได้ยินมานาน.....มาก แต่ฟังทุกวัน ชักเอียน... สิฮาก โหยหาเพลงอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คิดสะมาด 555 ทุกๆ ปีคืนวันคริสต์มาสเค้าจะเริ่มเปิดเพลงปกติทั่วๆ ไป มันให้ความรู้สึกที่ ฮรี้วววววว.....มาก

แรกเริ่มเดิมทีที่มาอยู่บ้านนอกแห่งนี้ ทุกๆ ปีในคือวัน Thanksgiving ครอบครัวจะมารวมกัน กินดินเน่อร์ไก่งวงมื้อใหญ่ ธรรมเนียมปฏิบัติ (สากลหรือไม่ ไม่ทราบ แต่ส่วนใหญ่..เค้าทำกัน) คือ การช่วยกันตั้งต้นคริสต์มาส ช่วยกันตกแต่งประดับประดา กันในคืนวันนั้น ค่ำวันนั้นสื่อต่างๆ ก็จะเริ่มเปิดเพลงคริสต์มาสกัน พอกินกันเสร็จก็จะได้ยิน แยกย้านกันกลับบ้าน ใครบ้านมัน ก็จะเริ่มได้ยิน ได้ฟัง เสียงเพลงคริสต์มาสในรถ ในทีวี อะไรต่ออะไรก็ว่ากันไป

ส่วนตัวของอิชั้นเอง ชอบเทศกาลต่างๆ ในช่วงนี้ วันหยุดเยอะ ลูกๆ ได้อยู่บ้าน ร้านรวงสวยงาม อากาศหนาวเย็น ยิ่งมีตังค์ก็ยิ่งดี เพราะช่วงนี้เป็นช่วงจับจ่าย ใช้เงินมากกว่าปกติ เด็กๆ คาดหวังของขวัญชิ้นใหญ่ๆ ที่ใต้ต้นคริสต์มาส (บ้านเราไม่ได้ตั้งต้นคริสต์มาสมา 3 ปีติดกันแล้วค่ะ เพราะหลายๆ เหตุผลค่ะ แต่ปีนี้สัญญาว่าจะไม่ขี้เกียจ 555 จะเอาออกมาตั้งสุดสัปดาห์นี้เลย) 

มาคุยต่อเรื่องเพลงคิรสต์มาสกันค่ะ คือปกติจะเริ่มเปิดกันในคืนแต๊งส์กีฟวิ่ง ไปจนถึงคืนวันคริสต์มาส คือ 1 เดือน เป็นเช่นนั้นมานานโข จนมาถึงปี 2001 ซึ่งเกิดเหตุการณ์ "9-11" เครื่องบนชนตึกทวินทาวน์เวอร์ มีคนเสียชีวิต บาดเจ็บจำนวนมาก คนอเมริกันถูกครอบคลุมไปด้วย โทสะ โมหะ ความโกรธแค้น เจ็บปวด สูญเสีย เศร้าโศก หวาดกลัว ฯลฯ เรียกรวมๆ ง่ายๆ ว่า Down แบบโคตรๆ หลายๆ สื่อก็ออกมาบอกว่า เราจะเล่นเพลงคริสต์มาสกันตั้งแต่เนิ่นๆ เลย เริ่มมันตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกาเลย เพื่อปลุกจิตวิญญานของอเมริกันชนให้รื่นเริงครื้นเครงเช่นเดิม (เป็นอย่างนั้นติดต่อกันอีก 2-3 ปีได้ จากนั้นก็กลับไปเป็นปกติ เอ๊... ไง๋ ..ปีนี้เริ่มกันแต่หัววัน หัวเดือน (พฤศจิกายน) อีก ชักสงกะสัย)

เอ๊ะ... อะไรวะ คิดไรกันวะ (ยิ๋งทด คำรามในใจ) เมิงจะบ้ากันเหรอ เปิดเพลงคริสต์มาสเพื่อ raise spirit จะบ้าเหรอ ช่วงแต๊งส์กีฟวิ่งถึงคริสต์มาส..เป็นช่วงที่อเมริกันฆ่าตัวตายมากที่สุด (สถิติจากไหนจำไม่ได้ ได้อ่าน ได้ดู ได้ฟังมาจริงๆ นะ ไม่ได้คิดเอาเอง สาบาน สาลี่ ขอให้เธอกินขี้ ขอให้ฉันกินข้าว 5555) เพราะเป็นช่วงที่ส่วนใหญ่เครียดเรื่องการจับจ่าย การรวมญาติ การเตรียมตัว การเสแสร้ง การสวมหน้ากาก (คือรวมญาติ นานทีปีหน จะเจอกันพร้อมหน้า เราต้องดูดี เสื้อผ้า หน้าผม ลูกผัว ต้องเริ่ด ของขวัญที่เตรียมไปต้องเจิด ซื้ออะไรให้ใคร จะดีพอมั๊ย กระจอกไปหรือปล่าว แล้วคนนั้นให้อะไรดี เดินทางไปรวมญาติ ค่าใช้จ่ายเพียบ บัตรเครดิตเต็ม ล้น เอ่อ เงินไม่พอ โอ้ยยยยย......เรื่องเยอะ จินตนาการเอาเองเถอะ ทุกอย่างเครียดค่ะ คนรวย มีอันจะกิน money is not matter ไม่เครียดค่ะ 5555)

เพลงคิดสะมาด มันเลยเป็นได้ทั้ง บวกและลบ คนชั้นกลางๆ ล่างๆ ต่ำเตี้ย ก็ผะอีดผะอมกันไป  ครอบครัวเราจัดอยู่ใน category นั้นด้วย อิชั้นเคยบ้าคลั่งเครียดแบบนั้นมาแล้ว หลังๆ สบายหน่อย เพราะตายไปหลายคนแล้ว 5555 ป่าว...ล้อเล่น เพราะครอบครัวเราสัญญาตกลงกันว่า เราจะให้ของขวัญเด็กๆ เท่านั้น พี่ ป้า น้า อา อินลอว์ ไม่ต้องให้กัน อิชั้นก็เลยมีแต่ซื้อของให้ลูก 2 คน กับหลานชาย 1 คน จบ เสร็จ สบายไป

แค่ฟังเพลงคริสต์มาส พล่ามได้ยาวเช่นนี้เลยนะกรู 555555

It's Beginning To Look A Lot Like Christmas lyrics

It's beginning to look a lot like Christmas

Everywhere you go;

Take a look in the five-and-ten, glistening once again

With candy canes and silver lanes aglow.

It's beginning to look a lot like Christmas,

Toys in every store,

But the prettiest sight to see is the holly that will be

On your own front door.

A pair of hop-along boots and a pistol that shoots

Is the wish of Barney and Ben;

Dolls that will talk and will go for a walk

Is the hope of Janice and Jen;

And Mom and Dad can hardly wait for school to start again.

It's beginning to look a lot like Christmas

Everywhere you go;

There's a tree in the Grand Hotel, one in the park as well,

The sturdy kind that doesn't mind the snow.

It's beginning to look a lot like Christmas;

Soon the bells will start,

And the thing that will make them ring is the carol that you sing

Right within your heart.

It's beginning to look a lot like Christmas,

Toys in every store,

But the prettiest sight to see is the holly that will be

On your own front door.

Sure it's Christmas once more.

Wednesday, October 31, 2012

Catching Up with the INGLEs – October 2012

แวะมาแปะรูปไว้ก่อน ว่างแล้วจะมาเล่าเรื่องนะคะ

page-897

page-889

page-890

page-887

page-891

page-888

page-892

page-893

page-894

page-895

page-896

Saturday, September 29, 2012

นินทาแมว ..บักโทบี้

โทบี้เป็นแมวหนุ่ม ที่เราอะด๊อพมาจาก Animal Shelter ตั้งแต่วันวาเลนไทน์ปี 2011 ตอนนั้นโทบี้อายุ 1 ขวบครึ่ง รอวันขึ้นเขียงให้เค้าส่งวิญญานอยู่ ถ้าไม่มีใครรับไปเลี้ยงภายใน 1-2 วัน ก็จะมรณภาพไป โทบี้เป็นแมวที่คนมองข้าม อยู่กรงด้านล่าง ใครๆ ก็สนใจแต่ลูกแมว ซึ่งเค้าจะเอาไว้กรงบนๆ ระดับสายตา วันนั้นรอมมี่ตกลงรับอีหนูพัฟฟ์มาเลี้ยง ลูกแมวอายุ 3 เดือน ก่อนกลับ อิชั้นหันหลังไปสบตากับแมวหนุ่มสีเทา สายตาเว้าวอน พอขับรถกลับบ้าน ใจไม่สบาย ตกค่ำนอนไม่หลับ หน้าแมวสีเทาตาเหลืองๆ ลอยหลอกหลอนไปมาทั้งคืน พอรุ่งเช้าส่งลูกๆ ไปโรงเรียนแล้วก็รีบขับรถไปที่ Animal Shelter เพื่อขอรับแมวตัวนั้นมาเลี้ยง หารู้ไม่ว่า วันนั้นเป็นวันศุกร์อะไรก็ไม่ทราบ จำไม่ได้ เค้าเจือกปิด ต้องรอไปวันจนทร์โน่น ตายห่าล่ะ เค้าจะไม่ฆ่ามันเสียก่อนเหรอวะ ทุกข์ใจมาก กระวนกระวายใจตลอดเสาร์อาทิตย์

พอเช้าวันจันทร์...อิชั้นรีบแจ้นไปเลย เค้าก็เจือกเปิดบริการ 9 โมง ไปถึงตั้งแต่ 8 โมงกว่าๆ เลยแล่นไปซื้อโดนัทกับกาแฟมานั่งกินในรถรอเค้าเปิด ในที่สุดเค้าก็เปิดประตู อิชั้นพรวดพราดเข้าไป รีบมองหาแมวสีเทากรงล่างสุด ใจหายแว๊บ กรงว่างเปล่า แทบร้องไห้ กุจะมากู้ชีวิตแมว แต่มาช้าเกินไป เลยวิ่งไปที่เค้าน์เต้อร์ถามถึงแมวตัวสีเทาๆ เจ้าหน้าที่บอกว่า ย้ายไปอยู่ด้านหลังแล้ว เพราะอยู่ที่โชว์รูมหลายวันแล้ว ไม่มีใครสนใจ ความนัยๆ ก็คือ ถึงเวลาต้องกำจัดแล้ว ว่างั้นเหอะ ก็เลยรีบบอกเค้าไป ว่าขอดูได้มั๊ย เค้าก็ไปเอาออกมาให้

Cats-resume

รักแรกอุ้ม มั๊ย ... ไม่นะ สงสารมากกว่า ขนแห้งๆ ฟูๆ มันตัวโตก็จริง แต่ดูไม่ค่อยเฮลท์ตี้ (ตอนนี้ขนนุ่มเป็นมัน ตัวไม่อ้วน แต่แน่นปึ้กเลย) แต่ด้วยที่ตั้งใจมารับมันไปเลี้ยงจริงๆ ก็เลยบอกเค้าไปว่าจะรับมันไปนะ ขอทำเอกสารเลย เจ้าหน้าที่ก็ขอบคุณยกใหญ่ ที่เราช่วยเซฟชีวิตแมว จ่ายตังค์ไป 65 เหรียญ เค้าบอกบ่ายๆ มารับนะ เค้าจะฉีดวัคซีนให้ครบ ป้อนยากำจัดหมัดแมลง (ถ้ามี) เช็คแล้วว่ามันถูกตอนมาแล้ว เลยรับมาเลี้ยงในวันนั้นได้เลย ไม่ต้องรอเข้าคิวทำหมัน (ตอนนั้นยังไม่ได้พัฟฟ์กลับมาบ้านด้วย เอกสารต่างๆ เสร็จแล้ว แต่รอทำหมันอยู่)

ตอนบ่ายๆ ก็ไปรับแมวสีเทากลับบ้าน เอกสารต่างๆ ระบุว่าเป็น Grey Tabby Cat เพศผู้ ชื่อ Alex อายุขวบครึ่ง พอลูกๆ กลับมาบ้านดีใจกันใหญ่ เพราะรอแมวพัฟฟ์มาหลายวันแล้ว จนเซ้งไปหน่อยๆ เด็กๆ ตื่นเต้นกับแมวอะเล๊กซ์ เสียงเรียก อะเล๊กซ์ อะเล๊กซ์ อะเล๊กซ์ อา.....เล๊กซ์ ทุกๆ 2 นาที อิชั้นฟังแล้ว แหงะ ไม่ชอบเว้ย เลยบอกลูกๆ ว่า แม่เปลี่ยนชื่อให้แมวนะ เปลี่ยนเป็น Toby นะ Toby the Cat ชื่อหล่อดีออก ลูกๆ ไม่สน ชื่ออะไรก็ช่างหัวมัน เพราะกำลังดีใจได้ปู้ยี้ปู้ยำแมว 5555 จากนาทีนั้น ก็ได้ยิเสียง โทบี้ โทบี้ โทบี้ โท....บี้ จนเหนื่อยหู

women-and-cats-will-do-as-they-choose-men-and-dogs-better-get-used-to-it-cat-quote

เล่าเรื่องที่มาของโทบี้เสียยืดยาว จริงๆ จะมานินทามันนะเนี่ย อิชั้นเป็นคนเกลียดแมว รักหมามาแต่ไหนแต่ไร บ้านเราไม่มีสัตว์เลี้ยงมาหลายปี กว่าจะตัดสินใจเลี้ยงแมว call for family meeting หลายหนค่ะ พอได้โทบี้มาไม่กี่วันก็ได้พัฟฟ์ตามมา พัฟฟ์เก็บตัว หวงตัว แต่โทบี้เฟรนด์ลี่กว่า ขี้ประจบกว่า แมวทั้งสองตัวชอบนอนห้องหนูดี เพราะ "รกชัฏ" ดี 5555 ได้สัญชาตญาณและบรรยากาศป่าๆ ดี 5555 แต่หลังๆ ไอ้โทบี้ชอบมานอนกับอิชั้น (แรงดึงดูดเพศตรงข้ามของอิชั้น ....แรงตั้งแต่สาวยันแก่เลยทีเดียว 5555)

พ่อบ้านไม่ชอบให้แมวขึ้นมานอนบนเตียง เจอ..เป็น..ยัน รู้สึกได้..เป็น...ลุกขึ้นไล่ตี 555 แล้วเวลามันโดดขึ้นมาบนเตียงนะคะ มันจะต้องไปเบียด ไปอิง ไปบิดขี้เกีบจยืดยาวเป็นนาน สองนาน จนพ่อบ้านตื่นอยู่บ่อยๆ เป้าหมายของมันจริงๆ แล้วมันจะมานอนกับอิชั้น ปกติเลย มันจะโดดขึ้นมา นอนทับอิชั้น ช่วงพุง หน้าอก ถ้านอนตะแคงอยู่มันก็ขึ้นมานอนบนสีข้าง นอนไปนวดไป (Kneading) ออกเล็บให้โดนทุบบ้าง มุดจักกะแร้ ซุกหน้า เบียดหลัง นอนทับหัว เกาผม สารพัดมันจะทำ ทนได้ก็จะทน เพราะเกรงใจแมว 555 ที่มันชอบมากๆ คือ เคล้าคลอเคลีย "เฝือ" (Snuggle) พอเวลามันนอน ชอบมานอนใกล้ๆ หน้า ซึ่งอิชั้นได้โมก โปะ ปะ ครีมต่างๆ ไว้เหนอะหนะ มันก็จะเอาหัวมาถู มาไถ จูบ หอม อะไรต่ออะไรของมัน แล้วขนมันก็จะติดหน้าติดปาก จมูก ที่เหนอะเหนียวอยู่ นิดๆ หน่อยๆ พอทนได้ แต่มันร่ำไรมากค่ะ คลอเคลียอยู่นั่น บางทีมันเพิ่งจะกินข้าวมา ถูไถใหญ่ โห กลิ่นอาหารแมว แหวะ สิฮาก ต้องลูกขึ้นล้างหน้าแปรงฟันใหม่ แล้วก็ไล่ตีแมวอีกกว่าจะได้นอน

พอพายุสงบ อิชั้นล้มตัวลงนอน พยายามข่มตาหลับ มันมาอีกแล้วค่ะ...บักโทบี้ เมิงจะรักอะไรกูนักหนา เข้า "สิง" กูเลยมั๊ยมึง  ไม่รู้จะรักหรือจะเกลียดมันดี เฮ่อ......

cat-quote-for-fb-share-people-that-hate-cats

Catching Up with the INGLEs – September 2012

Hello hello ฮาโล่ ฮะโล่ มาแล้ว มาแล้ว เอารูปมาเล่าเรื่องค่ะ

page-866รูปข้างบนคือคุณก๊อตตี้ หลากหลายอริยาบท

 

page-868

ก๊อตตี้ไปช้อปปิ้งกับแม่ เลือกซื้อแต่ของที่ตัวเองชอบ วาดลวดลายกับรถเข็นจิ๋วไปทั่วห้าง ดื้อมากๆ ซุบเปอร์มาเก๊ตนี้อยู่ใกล้บ้าน (เดินพอไหว แต่ขับรถไปตลอด 555) แต่ของแพง เลยไม่ค่อยได้ไปบ่อยๆ

page-865

ตอนนี้มีร้านใหม่ๆ มาเปิดในเมืองที่อยู่เยอะเลย รวมทั้งร้าน Frozen yogurt ร้านนี้ด้วย มีโยเกิร์ตให้เลือกประมาณ 7-8 รส ไม่เหมือนร้านในเฟสโน่ แต่มีแค่นี้ก็ดีใจกันมากแล้วค่ะ วันไหนพ่อบ้านหยุดก็จะพาลูกๆ เดินไปกันค่ะ ส่วนรูปขวาล่างคือ อาเมแกน วันนั้นเล่นแว่นอันนี้กันเกือบพัง 555 แย่งกันใส่ แย่งกันถ่ายรูป มีแว่นนี้ในครอบครองหลายปีแล้ว ไม่มีใครสนใจจะเล่น พอคนนึงใส่ แย่งกันให้วุ่นวาย คนบ้า 5555

page-869My kisser ยอดนักจูบของแม่ กอดจูบแม่ทั้งวัน นานๆ ถึงจะคิดถ่ายรูปไว้

page-870

พาลูกๆ เดินไปกินทาโก้ที่ Taco Bell ใกล้บ้าน เพราะแม่ไม่ค่อยสบาย เลยไม่ค่อยได้ทำกับข้าว ค้นโน่นนี่กินกันในบ้านจนเบื่อ เลยพาไปหาอะไรกินใกล้ๆ บ้าน แก้เบื่อ

page-871

สก๊อตตี้ ฟันโบกหลายซี่พร้อมกัน ไอ้ฟันเหล็กก็โยกอยู่นานมากแล้ว ไม่หลุดเสียที แปรงฟันที่ไรเลือดไหล พอวันนึง จดๆ จ้องๆ เหงือกลูกดูแปลกๆ ถึงได้รู้ว่า มีฟันแท้งอกซ้อนทับฟันเหล็กโผล่ออกมา เลยรีบทำนัด พาลูกไปให้หมอฟันถอนฟันเหล็กที่โยกอยู่และมีฟันงอกซ้อนทับออกเสีย กลัวว่าฟันลูกที่งอกออกมาใหม่จะ โย้เย้เกบิดเบีัยว บอกให้หมอถอนออก 4 ซี่ แต่หมอถอนออกให้แค่ 2 ซี่

page-872

รอมมี่สนุกสนานกับหมวกแม่มดใบนี้มาก ใส่เดินทั่วห้าง ไม่อายใคร ใครๆ ก็มอง แต่ราคาแพง แม่เลยไม่ซื้อให้ ลูกก็ไม่ว่าอะไร แค่ได้ใส่เดินร่อนในห้างก็แฮ้ปปี้แล้ว 555 หน้าไม่อายจริงๆ

page-873

อันนี้เป็นองุ่นไข่แมงดา องุ่นจิ๋ว หรือที่เค้าเรียก องุ่นแชมเปญ เพราะเค้าเอาไว้ใส่ก้นแก้วแชมเปญหรือเครื่องดื่มค๊อกเทลต่างๆ แต่กินเปล่าๆ ก็อร่อยดี คือ ไม่ได้อร่อยเลิศเลออะไร ก็เหมือนองุ่นธรรมดา เพียงแค่ลูกเล็กๆ ไม่มีเมล็ด กล่องนี้หนัก 2 ปอนด์ ราคา $350 ค่ะ

385783

Catching Up with the INGLEs – August 2012

 

page-874

page-875

page-876

 

page-863

page-877

IMG_1723-s

Saturday, September 1, 2012

เจ้าแม่ "โลว์-เทค"

 

เมื่อคืนนอนดูทีวี (ต้องบอกว่ารุ่งเช้าสิ เพราะตี 4 ตี 5 แล้ว) ผัวนอนหลับไปนานแล้ว แต่อิชั้นหลับไม่ลงจริงๆ จะออกมาดูทีวีข้างนอกก็ขี้เกียจ เลยเอาหูฟังเสียบมาจากหลังทีวีเลย 555 ก็นอนดูทีวีจนฟ้าสว่างแหละ พอเลิกดูทีวีก็นอนคิดว่า กูนี่ช่างพัฒนาลงฮวบๆ จริงๆ 555 จำได้ว่าเมื่อ 20 กว่าปีก่อน มีทริปนึงที่อิชั้นไปสิงคโปร์ ไปไหนๆ ก็ช้อประเบิดระเบ้อเป็นสากลอยู่แล้ว แต่ทริปนั้นแมนมาก ซื้อเครื่องอิเล็คทรอนิคหลายชิ้น รวมทั้งซื้อหูฟังไร้สายของโซนี่กลับมาด้วย (หน้าตาคล้ายๆ ในรูปข้างซ้ายค่ะ ยืมรูปมาจากกูเกิ้ล) จำได้ว่าแพงระยับ ที่เลือกโซนี่เพราะราคาไม่โหดอย่างหลายๆ ยี่ห้อในฝัน และสมัยนั้นก็ยังไม่มีให้เลือกหลากหลายนัก

ที่ซื้อเพราะเป็นประชาชนชาวคอนโดฯ เกรงใจบ้านใกล้เรือนเคียง ซึ่งพวกมันไม่ค่อยเกรงใจอิชั้นหรือใครๆ เลย และอิชั้นเป็นคนฟังเพลงดัง ดูหนังดัง มินิเทียเตอร์ที่มีก็ใช้ไม่ได้ เพราะเปิดแล้วก็อยากจะฟังแบบ ตูมๆ ตูมๆ ไอ้หูฟังที่ได้มาก็ช่วยได้เยอะ  แด้นซ์กระจาย ล้างถ้วยล้างจาน สะดวกสบายกับทุกกิจกรรม แม้แต่เวลาเข้าส้วม เรียกว่าซื้อแพงแต่ก็ใช้จนคุ้มค่า

พอย้ายมาที่นี่ใหม่ๆ ก็ไปซื้อไอ้หูฟังไร้สายมาอีก หน้าตาหรูดูดี ถึงจะเป็นโซนี่เหมือนเคย (เพราะยี่ห้ออื่น ...แพง) แต่แม่ม...เฮงซวย วางแท่นช่าร์จไว้ทั้งวัน วันดีคืนดี..ก็ฟังได้หลายชั่วโมง วันดีคืนร้าย ฟังได้ 4-5 นาที ไฟม้อดจ้อย เอาวะ เราอาจจะวางไม่ดี จดจ่อจ้องไฟชาร์จ จนเหมือนโรคจิต จะเอาไปคืนเค้าก็ผัดวันประกันพรุ่ง จนเลยกำหนด..แลก เปลี่ยน คืน เลยปล่อยให้วางเกะกะใต้ทีวีฝุ่นจับ คิดอยู่เรื่อยๆ ว่ากูจะซื้อใหม่ กูจะซื้อใหม่ ซื้ออะไรก็ได้..ร้อยแปดพันเก้าอย่าง ไม่เคยซื้อไอ้หูฟังที่อยากได้

เมื่อไม่นานมานี้ขณะช้อปปิ้งเล็กๆ น้อยๆ บน amazon.com (my shopping mall online 5555) ซึ่งเค้าจะมีโปรโมชั่นค่าส่งฟรีเมื่อซื้อครบ $25.- วันนั้น..ขาดอยู่ เหรียญกว่าๆ จะซื้อหูฟังก็ไม่ได้..ชิมิ อิชั้นก็เกิดไอเดียบรรเจิด ว่า... น่าจะซื้อสายต่อหูฟังมาโยงหูฟังที่มีอยู่ hot-wire มาจากทีวีเลย..ท่าจะดีแฮะ แล้วราคามันก็แค่ $1.99 สำหรับสายต่อยาว 3 เมตร (ซึ่งหน้าตาเหมือนในรูปก้านขวาน่ะค่ะ) คาดว่า บวกกับสายของหูฟัง น่าจะโยงจากทีวีมานอนดูทีวีได้ ก็เลยสั่งซื้อไป พอของมา มันเวิ๊กมากๆ โคตรคุ้ม เกะกะไปหน่อย รุ่มร่าม รุงรังไปนิด ...พอทนได้ หูฟังที่มีอยู่ก็เป็นหูฟังคุณภาพสูง สามีซื้อให้นานมากแล้ว คราวนี้อยากนอนดูหนัง ตูมตาม โครมคราม คนเดียวดึกๆ ดื่นๆ ก็ไม่ต้องเกรงใจใคร อิอิ

shopping-online

คนเรา...ทุกวันนี้...ไล่ตามเทคโนโลยีกันอย่างไม่ลดละ อิชั้นก็อยากได้ อยากมีมันไปซะทุกอย่างเหมือนกัน แต่เมื่อมีไม่ได้ เพราะปัจจัยไม่อำนวย ก็ต้องคิดปรับเปลี่ยน หาทางทำให้มัน "เวิ๊ก" กับกิจนั้นๆ ของเรา ถึงแม้มันจะเป็นเทคโนโลยีเก่าๆ เต่าล้านปี อย่างเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ฟังดูไร้สาระ หาความสำคัญอะไรไม่ได้กับหลายๆ คน แต่มัน "เวิ๊ก" มากๆ ค่ะ สำหรับอิชั้น $1.99 ที่จ่ายไป เปลี่ยนความวุ่นวายยุ่งยากใจ ที่ต้องนอนดูทีวีเสียงเบาๆ ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง เหมือนทีวีมันกระซิบกระซาบ ต้องเปิด caption ไว้อ่านด้วย งานนี้คุ้มจริงๆ ค่ะ ไม่คิดจะไปซื้อ wireless headphone ไม่ว่าจะ ถูกๆ หรือ แพงๆ อีกแล้วค่ะ

จากอดีต ที่เคยเป็น Gadget Queen แต่หลายปีมาแล้วที่อิชั้นได้เปลี่ยนมาเป็น เจ้าแม่ "โลว์-เทค" ชนิดที่ไดโนเสาร์เรียก "ซ้อใหญ่" 5555

online-shopping-cartoon

Friday, August 10, 2012

Catching Up with the INGLEs – July 2012

กราบสวัสดีงามๆ ค่ะ หายไปนาน ห่างบล็อกไปเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ เพราะว่าอิชั้นมัวไปสิงอยู่ที่เฟสบุ๊คค่ะ ระหว่างบล็อกกับเฟสบุ๊คมันก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป เฟสบุ๊คมันปัจจุบันทันด่วน หยาบๆ แต่ทันใจ แต่บล็อกมันละเมียดละมัยกว่า ซึ่งใช้เวลามากกว่าในการเรียบเรียง ลำดับเรื่องราวได้ดีกว่า หลังๆ มาอิชั้นก็ไม่ค่อยได้ใช้คอมพ์เครื่องใหญ่ (เดสก์ท๊อป) เพราะมัวไปเกาะแขวนติดกับแล่ปท๊อปในครัว ซึ่งตัดต่อภาพ พิมพ์ อ่าน เขียน ลำบากกว่า อาศัยใช้ดูละคร โชว์ต่างๆ จากเมืองไทย และแคชอัพกับเฟสบุ๊คสลับไปด้วย จริงๆ ก็เพิ่งจะมาคลุ้มคลั่ง บ้าบอดูละครเมื่อ 2-3 เดือนนี่เอง ห่างบ้านห่างเมืองมาตั้งนานก็เพิ่งจะดูละครเป็นบ้าเป็นหลังก็ตอนนี้ เริ่มจากอ่านคนเค้าพูดถึงผีอีแพง ผีอีเม้ย กันอย่างไม่เว้นระยะ อิชั้นกลัวจะตกเทรนด์ เลยเอากับเค้าซะหน่อย สรุป ดูละครยืดเยื้อ ยาวย้วย เรื่อยมาเลยค่ะ

มาแวะแปะรูปไว้หลายวันแล้ว และจะค่อยๆ มาเล่าเรื่องนะคะ เริ่มตรงนี้เลย วันที่ 4 กรกฎาคา ก็พาลูกๆ ไปปิคนิค จุดพลุกับครอบครัวอินลอว์ ที่บ้านเมแกนเหมือนทุกๆ ปี แต่ปีนี้เซ็งๆ เพราะเป็นปีแรกที่พ่อปู่แม่ย่าของอิชั้นไม่ได้มา 5555 …. อย่ามาเลย สาธุ คือแกชวนกันลงหลุมไปเมื่อปีกลาย 555 ก็ไม่มีอะไรมาก กินๆๆๆๆ แต่อิชั้นไม่ได้ดื่มดวดเหมือนปีก่อนๆ เพราะกินยาที่หมอห้ามดื่มของมึนเมา ทั้งๆ ที่เตรียมของมึนของเมาไปด้วย ซึ่งก็มี ขนมกัมมี่แบร์แช่เหล้าว๊อดก้า กับ ว๊อดก้าเจลโล่ช๊อตค่ะ พวกผู้ใหญ่ (ยกเว้นพ่อบ้านของอิชั้น ซึ่ง ไม่ดูด-ไม่ดื่ม) ต่างเอ็นจอยเครื่องเมาที่อิชั้นเอาไปด้วย หมดเกลี้ยงภายในไม่กี่ชั่วโมง รีเควสกันใหญ่ ให้ทำมาอีกสำหรับปาร์ตี้ครั้งต่อๆ ไป

page-869

รูปก้อนนี้ไม่มีอะไรมาก พาเด็กๆ ไปกินไอติมร้านประจำ ร้อนๆ ไม่อยากไปไหนไกล ก็เลยไปแดรี่ควีนกันบ่อยๆ ค่ะ ส่วนหนูดีหน้ามุ่ยนั่น คือพาลูกไปงานศพแม่ของเพื่อนรักชาวลาว ปลุกแต่เช้าเลยหน้าตาเป็นแบบนั้น 555 ไอ้หัวโล้นที่อยู่ข้างหลังก็คือลูกหลานเค้าที่บวชเณรกัน มิใช่แก๊งสเต้ออะไรหรอกค่ะ

page-860

เดือนนี้มีอีเว้นท์ที่ทำให้พ่อบ้านของอิชั้นตื่นเต้นตูมตามมาข้ามเดือนเลยค่ะ เป็นครั้งแรกในรอบ ร้อย 5-60 ปี คือนานโขมากแล้วจำปีไม่ได้ ที่จะเปิดให้ครอบครัวของพนักงานได้เข้าเยี่ยมชมโรงงานไวน์เก่าแก่แห่งนี้ เปิดมาตั้งแต่ปีพันแปดร้อยเท่าไหร่ก็ไม่รู้ 555 ชักเลอะเลือนไม่จดไม่จำอะไรทั้งนั้น โรงงานเค้าใหญ่มากน่ะนะคะ อย่าไปจินตานาการถึงโรงงานสวยๆ ร่มรื่น ไร่องุ่นสุดลูกหูลูกตา ถังไม้โอ๊คหมักบ่มเรียงรายสวยงาม มะช่าย มะช่ายค่ะ อันนี้เป็นโรงงาน ที่รถบรรทุกขนองุ่นเข้ามาเรียงรายเป็นสิบๆ คัน รอเข้าคิวที่จะถล่มเทองุ่นเข้าเครื่องล้าง เครื่องบดกระทืบ 555 แต่วันนั้นเข้าไม่ได้ให้เข้าชมหรอกนะคะ ให้แต่เดินดูข้างนอก เพราะเรื่อง “เซฟตี้” กันไว้ก็จะดีกว่าแก้

page-864

กว่าจะเข้างานก็ต้องมีเข้าแถวยาวเหยียด ตรวจบัตรพนักงาน สมาชิกครอบครัวก็ต้องโชว์ไอดี ถ้าใครที่จะไปทดลองดื่ม เหล้า ไวน์ เบียร์ แชมเปญ ฯลฯ (คือเค้าผลิตแทบจะทุกอย่าง มีเพียงเหล้าและเบียร์ ที่ บ. นี้เป็นผู้นำเข้ามาหมายหลายยี่ห้อ ที่ดังๆ ก็มี โคโรน่า โมเดลโล่ ฯลฯ) ก็จะได้ริสต์แบนด์ ที่มี 5 แท๊ป ติดอยู่ คือให้ทดลองดื่มได้แค่ 5 อย่าง ส่วนอิชั้นได้มา 10 ดื่ม เพราะพ่อบ้านรีเควสมาด้วย กะว่าจะให้อิเมียเมาตายกลางแดด 555 วันนั้นร้อนมากค่ะ

page-861

รูปบนซ้านคือจุด wine testing อย่างที่บอกค่ะ เค้ามีหลายอย่าง ไวน์ทุกรส ทุกสี แต่อิชั้นไม่ชอบไวน์ ก็ไปแลกเอาเบียร์มาดื่ม แต่ขนาดของพวกแก้วที่ให้แซมเปิ้ลน่ะ เชอะ เฮอะ … กระจิ๋วเดียวค่ะ อิชั้นก็เดินวนขนมาทีละ 2 แก้ว รูปขวาบนจะเห็นว่ามีหอระฆังอยู่ทางซ้าย ส่วยท่อหอคอยสูงๆ นั่นเป็นหอคอยท่อกลั่น (distill) ซึ่งสูงเท่ากับตึก 10 ชั้น ต้องบอกว่าหอระฆังที่เห็นนั่นเป็นสัญญลักษณ์เก่าแก่ดั้งเดิมของโรงงาน ที่มีอยู่ร้อยกว่าปีแล้ว วันนั้นเค้าให้เด็กๆ ขึ้นไปตีระฆังกันค่ะ ปรากฏว่าไอ้ตี้ของอิชั้นโชคดีได้เป็นคนแรกเลยค่ะ ถือว่าเป็นเรคคอร์ดเลย 555…เด็กคนแรกที่ได้ตี (หรือสั่นวะ) ระฆังอันนี้ เดิมเลย..สมัยก่อนเค้าเอาไว้บอกเวลา พักเที่ยง เลิกงาน ฯลฯ พอเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาระฆังก็ถูกลืม เค้าเลยเอาไว้บอกสัญญานเพียงปีละครั้งว่าเริ่มเข้าสู่ช่วง crush season แล้ว ช่วงครัช คือ ช่วงที่ดีที่สุดที่จะเก็บเกี่ยวองุ่นคุณภาพดีเหมาะแก่การทำไวน์ ลองอ่านดูค่ะ

Crush season is the two-week window when grapes are plucked from their vines and put through the annual squeeze. It’s the time of the year when wine makers’ eyes bulge with the fear of losing an entire crop. The magic of harvesting is knowing when the grapes are at their maximum flavor potential.This is calculated in labs by testing sugar, acidity, and the taste of the grapes themselves.

page-862

ช่วง crush season พนักงานก็จะห้ามลา ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามสาย ห้ามขาด ซึ่งจะเริ่มประมาณกลางๆ เดือนสิงหาค่ะ แต่โรงงานก็จะงานยุ่งยาวไปถึงต้นๆ ธันวาเลยทีเดียว ลูกๆ ก็จะไม่ค่อยได้เจอพ่อ 555 โรงงานนี้มีพนักงานประมาณ 700 คนเศษ ทำงานกัน 3 กะ คือ ไม่เคยหยุดเครื่องเลย 24/7 ผลิตไวน์ทุกชนิดและแชมเปญเป็นหลัก ผลิตได้ 17-20 ล้านลังต่อปี คูณ 12 กันเองค่ะ เวลาเค้าอธิบาย เค้าพูดเป็น case เคสๆๆๆๆ รูปบนเป็นอาหารที่เค้าแจกให้ทุกๆ คน โปรดสังเกตแก้วไวน์ เบอกันดีแก้วนี้ แหวะมาก 555 คืออิชั้นไม่ชอบไวน์ มีเต็มบ้านไม่แตะเลย พยายามหลายครั้งหลายหนที่จะชอบ แหงะ ไม่เวิ๊กซักที 555 เคยบ่นไว้ตรงนี้ค่ะ http://oohsworld.blogspot.com/2008/11/blog-post_17.html

page-863

วันนั้นเค้ามีกิจกรรมหลายอย่าง ถ่ายรูปมาเยอะ แต่ดูแล้วก็งั้นๆ มีแข่งกินแตงโม หนุ่มน้อยตกน้ำ เครื่องเล่นให้เด็กๆ รูปกลางด้านซ้ายเด็ดสุด ผลไม้แจกฟรี ลืมถ่ายตอนเข้าไป รูปนี้ตอนงานจะเลิกแล้วค่ะ เลยเหลืออยู่แค่นี้ ในงานมีของแจกให้หยิบฟรีๆ เยอะแยะ ซึ่งมาจากองค์กร หน่วยงาน ร้านค้าประจำท้องถิ่มเค้ามาเปิดเป็นซุ้มๆ บางอันก็น่าสนใจ บางอันก็งั้นๆ เห็นปล่อยๆ มีร้านสมูธตี้ ปั่นกันระเบิดระเบ้อ ยืนรอจนเซ็ง คนไม่มีมารยาทเยอะ เลยเดินหนี เบื่อ

page-865

รูปบนเป็นตอนเดินเที่ยวชมโรงงาน นี่แหละค่ะที่เค้าเรียกว่าเซลล่า ไม่เหมือนเซลล่าในโรงบ่มมืดๆ ทึมๆ ถังไม้โอ๊คเหมือนในจินตนาการใช่มั๊ยล่ะ 555 ถ้งขาวๆ ยักษ์ที่เห็นนี่แหละค่ะคือถังบ่มของเค้า มี 600 กว่าถัง ถังสูง เตี้ย อ้วน ผอม ต่างกันเป็นโซนๆ จุได้ถังละประมาณ 35,000 เคส …คำนวนกันเอง 5555 ไอ้ตี้ถ่ายรูปกับรถเชรีฟ ยึกยักอยู่นานกว่าจะกล้าเข้าไปถ่าย จนคุณเชรีฟจูงมือเข้าไปจัดท่าให้ 555 อีกรูปก็เป็นไอ้ตี้เดินตามคณะทัวร์

page-866

รูปบนซ้ายเป็นถังแบบสูง จะเห็นรอบเปื้อนไวน์แดงไหลยาว แต่ถ่ายรูปมาเห็นไม่ชัด บางปีมีอุบัติเหตุ เปิดปิดวาวส์ผิด ปล่อยไวน์ไหลทิ้งกันเป็น 2-3 ล้านเหรียญ พ่อบ้านของอิชั้นโดนหางเลขไปด้วยครั้งนึง โดนพักงาน 1 อาทิตย์ ไอ้ตัวคนทำถูกไล่ออก มีให้ได้ยินได้ฟังอยู่เรื่อยๆ ค่ะ เสียหายทีเป็นแสนเป็นล้าน ฟังทีตกใจ พ่อบ้านเป็นโฟร์แมน ลูกน้องทำผิดก็ต้องโดนด้วย รูปล่างซ้ายคือของที่เค้าแจกมาค่ะ บางอันก็ดูดีมีประโยชน์ ใช้งานได้ หลายๆ อย่างก็ แหงะ รกบ้าน เลยไม่ได้หยิบมาค่ะ เพราะบ้านรกมากอยู่แล้ว 555 ไอ้ถุงผ้าที่รองอยู่ด้ายล่าง เริ่ดมาก คุณภาพดี เค้าแจกเป็นซุ้มแรกๆ เอาไว้ให้พวกอีหยิบ อิยิปต์ อิฉวย อิลัก ไว้ใส่ของ 555

page-867

ท้ายสุด สุดท้าย เดือนนี้เป็นเดือนเกิดของอิชั้น ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ อิชั้นวิ่งวุ่นไปมางานศพแม่เพื่อน กลับมาถึงบ้านคืนวันเกิด พ่อบ้านแอบไปซื้อเค้ก แล้วมาเขียนแต่งหน้าเอง ตัวหนังสือดูเหมือน horror movie มาก 555 แต่ยังไงๆ ก็ได้คะแนนความพยายามและความรักเมียร้อยห้าสิบเต็มร้อยค่ะ เค้กร้านนี้อร่อยนะคะ ราคาไม่แพง ลูกๆ แฮ้ปปี้กว่าแม่ 555 โปรดสังเกตรอมมี่ ตัวใหญ่มาก 555 และตรงนี้แหละค่ะคือสเตชั่นดูละครของอิชั้น ตื่นมาก็เปิดคอมพ์ก่อนที่จะล้างหน้าแปรงฟันอีกค่ะ ล้างหน้าแปรงฟัน ทำกับข้าง ล้างจาน ก็ ณ จุดนี้เลยนะคะ 5555

be happy