Friday, November 27, 2009

Happy Thanksgiving (UPDATE)

Happy-Thanksgiving-Cooked-Turkey-Posters

เป็นแต๊งส์กีฟวิ่งที่ยุ่งๆ ป่วยๆ ยังไม่รู้จะตั้งต้นคริสต์มาสดีหรือป่าว เดี๋ยวจะมาเล่ารายละเอียด ไปตัดต่อรูปและเรื่องก่อนนะคะท่านผู้ชม เอาไก่งวงหินๆ มาฝากก่อน แทะกันไปพลางๆ ก่อน 555

GiveThanksHappyHolidays

แถมด้วยนี่…….แฮ้ปปี้ ฮอลิเดย์ ด้วยซะเลย

happyholidays11

มาแล้ว มาแล้ว มาแร้วววววววววว… ยังเหนื่อยๆ เซ็งๆ เหมือนเดิม จะมาเล่าเรื่องวุ่นๆ ยุ่งๆ ช่วงเทศกาลแต๊งส์กีฟวิ่งให้ฟัง เอาเป็นฉากๆ เลยเน๊าะ

เริ่มจาก วันศุกร์ (20) ขณะที่กำลังวุ่นวายเตรียมตัวออกไปรับอาหารเพื่อไปส่งให้อีก๊อตที่ที่ทำงาน ไอ้ตี้วิ่งๆๆๆ (มันเดินไม่เป็น เวลาวิ่งก็ฟูลสปีดด้วยนะ) แล้วไปลื่นหัวฟาดพื้นอย่างแรง พื้นตรง Hallway เป็นพื้นกระเบื้องด้วยสิ เป็นเพราะไอ้ตี้เองแหละ มันชอบไปกดชักโครกเล่น ดึงกระดาษเช็ดตูดโยนใส่โถส้วมแล้วก็กด ทำอยู่อย่างนั้นจนหมดม้วนมันถึงจะเลิก โดนตีไม่รู้เท่าไหร่…ก็ไม่เข็ด แล้วไอ้ส้วมบ้าเนี่ยก็ชอบค้าง ถ้าไม่มีใครรู้ใครเห็นไปยกฝาออกแล้วปลดลูกลอยที่พับค้างอยู่ น้ำก็จะไหลอยู่ในถังไม่หยุด บ่นๆๆ ซ่อมเองบ้างแล้วก็พอโอเค แม่กับพี่ใช้ได้ไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่ไอ้ตี้ชอบกดแล้วโหนค้างเอาไว้ ตานี้ไม่รู้มันไปเล่นกดส้วมนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่…คงนานมากแหละ เพราะน้ำไหลท่วมถ้นล้นถัง (ถังนะคะไม่ใช่โถ…น้ำสะอาด…แถมส้วมเป็นส้วมที่เค้าติดตั้งใหม่ด้วย) น้ำนองท่วมเข้าไปทุกห้อง พรมแต่ละห้องที่ใกล้ๆ ประตูเปียกปอนหมด

ตอนที่ไอ้ตี้ลื่นล้ม หัวด้านหลังตรงทุยๆ น่ะ ฟาดลงที่พื้นอย่างแรง มันร้องกรี๊ด อิแม่ก็มือไม้สั่น ลูกร้องเพราะเจ็บปวดไม่ใช่งอแงงี่เง่า ร้องแบบนั้นรู้แกวกันดีอยู่แล้ว รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกออก เช็ดหัวเช็ดหู โห….. มันแดงม่วงเป็นวงใหญ่เลยตรงที่ฟาดลงกับพื้น แต่ไม่ปูดโน กลัวว่าจะเป็น concussion กับข้าวก็ต้องไปรับ-ไปส่งอีก ลูกก็เจ็บอีก อยากตายยยย… ก็รีบแหกไปรับกับข้าวซะให้เสร็จๆ พอส่งกันเสร็จ ก็ไม่พูดไม่จาฮ่อไปโรงบาลเด็กเลย 30 ไมล์ แม่ขับแค่อึดใจเดียว ให้พี่มันพยายามชวนน้องคุยตลอด ไอ้ดื้อก็อยากจะหลับ ชักเงียบๆ เครียดๆๆๆๆ

พอถึงโรงบาล (ไม่อยากไปเล้ย…ให้ตายสิ เพราะแถวๆ นี้มีเด็กเป็น swine flu –H1N1 กันอยู่ไม่น้อย เฮ้อ….) ก็รอไม่นาน พยาบาลก็เรียกเข้าไปซักถามอาการ เจ้าหน้าที่อีกคนซักถามเรื่องประกันและการชำระเงิน แล้วก็ออกมานั่งรอ คราวนี้รอเง่กกกก…. ไปอีกเกือบชั่วโมง เค้าก็มาอันเชิญเข้าไปรอในห้องตรวจ รอกันอีกเป็นชั่วโมง หมอเข้ามาก็ตรวจถี่ถ้วนดี แล้วบอกว่าไม่อยากทำ MRI เพราะยังเล็กนัก รังสีที่ใช้มันเยอะ แต่ถ้าหากจำเป็นก็จะต้องทำ อยากให้รอดูอาการคืนนี้ก่อน เค้าก็เช็คหู หัว จมูก ปาก ไม่มีเลือดไหล หัวไม่โน แต่รอยแดงช้ำชัดเจน หมอยังบอกว่าถ้ามันเป็น concussion คงไม่ดื้อซนร่าเริงอย่างตอนที่เค้าตรวจหรอก แล้วไอ้ตี้ก็เกิดตัวอุ่นๆ หมอก็สั่งให้พยาบาลเอายามาป้อน มันถ่มถุยซะ เรียกว่าเข้าถึงท้องมันไม่ถึง 1 ใน 4 เรื่องป้อนยาไอ้ตี้นี่ ต้องบอกว่า โคตรยากเลย ไม่เหมือนอีรอมตอนเล็กๆ ง่ายดาย น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ มามีฤทธิ์ก็ตอนโต แหงะ

page-484

สรุปว่าหมอนิมนต์ให้กลับบ้านกัน สั่งกำชับให้จับตาดูมันเยอะแยะ ไปดูตรง Emergency signs ข้างล่างโน่นเลยค่ะ ก็บอกถ้ามันร้องเพราะปวดหัวแบบไม่เลิกไม่หยุด อ้วก ม่านตาดูไม่ปกติ เบลอๆ เอ๋อๆ ก็ให้รีบพากลับมาโรงบาล ถ้ามันหลับก็ให้หลับไป แต่คอยปลุกทุกๆ 2 ชั่วโมง ดูว่ามัน disorient หรือป่าว หากมีอะไรดูไม่ชอบมาพากลก็ให้กลับไปโรงบาล รอเค้าทำตามลำดับ พยาบาลก็เอารีลีสฟอร์มมาให้ ใช้เวลานั่งรออย่างบ้าคลั่งที่โรงบาลนานเป็นปกติ เราไปถึงโรงบาลกันประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ กลับถึงบ้านก็เที่ยงคืนพอดีๆ อิพ่อมันก็โทรเข้ามือถือทุกๆ 15 นาทีเลยเชียว

Concussion

A concussion is a brain injury that may result in a bad headache. altered levels of alertness, or unconsciousness.

Symptoms

A concussion results from a significant blow to the head. Symptoms can range from mild to severe. They can include:

  • Headache
  • Altered level of consciousness (drowsy, hard to arouse, or similar changes)
  • Loss of consciousness
  • Memory loss (amnesia) of events surrounding the injury

Emergency signs:

  • Changes in alertness and consciousness
  • Convulsions
  • Muscle weakness on one or both sides
  • Persistent confusion
  • Persistent unconsciousness (coma)
  • Repeated vomiting
  • Unequal pupils
  • Unusual eye movements
  • Walking problems

พอกลับถึงบ้านก็แบกลูกฝ่าความหนาวเหน็บเข้าบ้านเพราะมันหลับคร่อกอยู่ (ระยะนี้อากาศเย็นมากแล้ว กลางวันก็ประมาณ 50-60°F กลางคืนก็ 30-35°F) นั่งเฝ้ากันไป จนรุ่งเช้า มันก็ตื่นมาดื้อซนได้ตามปกติ แต่ความห่วงและกังวลไม่ได้ลดลงเลยแหละ รอยช้ำก็ยังชัดเจนอยู่ พอตกค่ำ อยู่ๆ ไอ้ตี้ก็มีเลือดกำเดาพรั่งพรูออกมา มากกกกกก…. มากมายกว่าปกติเยอะ ไหลอยู่นานมาก ทำยังไงก็ไม่หยุด เอาถุงโคลแพ๊คประคบ ทิชชู่แดงเทือกเต็มพื้น เสื้อผ้าทั้งของแม่ของลูกเปื้อนไปหมด แต่ซักพักใหญ่ๆ ก็หายไป โทรไปโรงบาลเด็กอีก ว่าเอาไงดี คำตอบคือ “แล้วแต่” ถ้าวอรี่ก็เอากลับมาให้หมอตรวจดู เป็นคำตอบที่เทรนมาให้เซฟตัวเองเซฟโรงบาลใช่ป่าว… ไอ้วอรี่น่ะวอรี่อยู่แล้ว ก็เลยบอกไปว่า เดี๋ยวกุขอสังเกตอาการลูกกุอีกซัก 1 ชั่วโมง ถ้าดูโอเค ก็ไม่พาไป ก็..เออๆๆๆ…จบ สุดท้ายก็ไม่ได้พาไป แต่แม่กับพ่อก็จ้องหน้ากันแบบ… เราตัดสินใจถูกหรือป่าววะ ไม่อยากจะมา regret กันที่หลัง แต่ก็ดูกันไปก่อนละกัน ไอ้ตี้ก็ดื้อซนได้ตามปกติในวันต่อๆ มา พอวันอาทิตย์ (22) ก็ต้องพาอิรอมไปส่งบ้านย่า เพราะมันจะไปแต๊งส์กีฟวิ่งกะอีแวว (Valerie - น้องผัว) ที่บ้านบนเขา Pine Mountain Lake ได้ข่าวว่าสโนว์แล้ว จริงๆ ก็ไม่อยากให้ไป เพราะรอมมี่โตแล้ว เรียกหาให้ช่วยหยิบจับอะไรได้เยอะแล้ว น้องไม่ค่อยสบายแบบนี้ด้วยสิ แต่จะไปก็ไป เพราะเห็นว่าวางแผนกันนานแล้ว

พอรุ่งเช้าวันจันทร์ (23)อิชั้นก็ต้องไปทำ CT Scan ตรวจคุณมดของอิชั้นด้วย โอ้ยยย…ประสบการณ์ใหม่ เรื่องเยอะ เดี๋ยวไว้เขียนเป็นเรื่องเดี่ยวๆ ให้อ่านที่หลังละกันนะคะ

อิชั้นกับไอ้ตี้ก็อยู่โยงที่บ้านกัน 2 คน เพราะอิพ่อมันทำงานทุกวัน พอเที่ยงคืนวันพุธ (25) ไอ้ตี้ก็เริ่มอ้วก ลูกดูเงียบๆ ซึมๆ มาตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา ก็ดีๆ ดื้อๆ แหละ คิดว่าลูกเงียบๆ ไป เพราะเหงาพี่ไม่อยู่บ้าน ไม่ได้รบราฆ่าแกงกับพี่ จากที่มันเป็นคนกินยาก กลายเป็นไม่ยอมกินอะไรทั้งวัน พอกินอะไรก็อ้วก ไข้ก็ไม่มี อิชั้นก็ทุรนทุราย อยากจะบ้า รอผัวกลับถึงบ้าน ก็ค่อยอุ่นใจนิดนึง (นิดนึงจริงๆ นะ เพราะอิบ้านี่ไม่ช่วยอะไรมากหรอก ก็แค่รับฟัง อยู่ใกล้ๆ พอให้อุ่นใจ นั่งเฝ้าลูก ช่วยหยิบโน่นนี่บ้าง ก็แค่นั้น) ไอ้ตี้ก็อ้วกไม่หยุด กลัวลูกจะ dehydrate พยายามให้ลูกดื่ม 7-up บ้าง น้ำบ้าง เป็นว่าดื่มอะไรก็พุ่งออกมาหมด แล้วเวลาอ้วกก็แบบ พุ่งเลยนะ น่ากลัวมากๆ ดูแลกันจนตี 4 อิชั้นก็แบบ ไม่ไหวแล้ว จะพาลูกไปโรงบาล อิพ่อมันก็ไปไม่ได้ เพราะต้องไปทำงาน เลยโยนลูกใส่รถห้อไปโรงบาลกัน 2 คน ขับรถไปโรงบาลเป็นเรื่องที่เชี่ยวชาญพอใช้แหละ แต่มันจะเป็น 15-16 ไมล์บนฟรีเวลย์ ซึ่งรถมีไม่มาก เพราะเป็นเช้าตรู่ของแต๊งส์กีฟวิ่ง พอออกจากฟรีเวย์มันเป็นเรือกสวนไร่นาไปอีก 13 ไมล์เลยนะ ไม่มีไฟ เป็นถนน 2 เลนเล็กๆ รถสวนไปมา มืดตื๋อ จะบอกว่า ตลอด 13 ไมล์ ไม่มีรถสวน ไม่มีรถนำหน้า ไม่มีรถตามหลังเลย โดดเดี่ยวโด่เด่ ไม่เคยรู้สึกกลัว แต่คืนนั้นมันรู้สึกวังเวง สยอง เสียวสันหลังชอบกล มันมืดดดด…. มาก สุดท้ายก็ถึงโรงบาลโดยปลอดภัย รอๆๆๆ รอข้างนอก รอข้างใน รอๆๆๆ ตามปกติ ไปถึงประมาณ ตี 4 ครึ่ง หมอเชี่ยนั่นเข้ามาเกือบ 6 โมง (วันที่ 26 แต๊งส์กีฟวิ่งแล้วนะ) เราก็พยายามยามจะอธิบายว่ามีไรๆๆ เกิดขึ้นบ้าง จากวันศุกร์ เชื่อมั๊ยคะ มันไม่ฟังเลยค่ะ จับลูกดูโน่นนี่ 30 วินาทีแล้วก็เดินพรวดออกไป แล้วชะโงกหน้ากลับเข้ามาบอกว่า เดี๋ยวให้พยาบาลเอายาแก้อ้วกมาให้กิน แล้วก็ไม่ได้เห็นหน้าไอ้หมอเชี่ยนั่นอีกเลย

page-485

นั่งรอเง่กกกกก…. กันต่อไป ไอ้ตี้ก็ดื้อซนมากมาย แม่มันก็ง่วง เพราะไม่ได้หลับได้นอนเต็มๆ อิ่มมาหลายวันแระ พอใกล้ๆ เจ็ดโมงอีพยาบาลคนแรกก็เข้ามา เอายาที่ไอ้หมอเฮงซวยบอกมาป้อน เป็นยาเม็ดเล็กๆ เค้าเอามาใส่กระพุ้งแก้มมัน แล้วก็เอานิ้วถูๆ บดๆ ให้ละลาย ไอ้ตี้ก็นั่งนิ่งให้เค้าทำอย่างง่ายดายซะงั้น แล้วอีนังพยาบาลก็บอกว่า มันจะออกกะแล้วนะ เดี๋ยวพยาบาลคนใหม่ก็จะมาดูแลเราต่อ ตายห่าสิ เปลี่ยนกะกันทีก็อีกเป็นชาติ กว่าพวกคุณเธอ เทอๆๆๆๆ จะเข้าร่องเข้ารอย เลยถามไปแล้วยังไงเนี่ย หมอสั่งยา หรือให้รอ ทำอะไรยังไงกันต่อ มันตอบว่า ไม่รู้สิ รอพยาบาลคนใหม่ละกัน แล้วยานี้ก็ให้รอประมาณ 30 นาที ก็ไม่รู้จะว่าไงแหละ นั่งเซ็งต่อไป จนเกือบ 8 โมงเช้า ก็มีพยาบาลคนใหม่มาแนะนำตัว แล้วก็ถามว่าลูกอ้วกอีกมั๊ย ก็บอกไปว่า..ไม่แล้ว เธอก็บอกว่า งั้นเดี๋ยวไปบอกหมอ หมอว่าไงเดี๋ยวจะมารายงานผล ซักพักใหญ่ๆ เกือบ 30 นาทีได้ ไปนานเชียวอี-5 แล้วก็กลับมาบอกว่า หมอให้กลับบ้านได้แล้วนะ แต่เดี๋ยวไปเอา release form ก่อน แล้วมันก็หายไปอีกนานมากกก…. กว่าจะพริ๊นต์เอกสารออกมาได้ มันยากเย็นมากหรือไงเน๊าะ สุดท้ายมันก็มา อธิบายว่าต้องทำโน่นนี่ ห้ามลูกกินอะไรนอกจาก clear liquid ไปอีก 24 ชั่วโมง สรุปว่าไม่ได้เจอไอ้หมอคนมาเปลี่ยนเวรใหม่ด้วย แต่ก็รีบแจ้นกลับบ้านแหละ ไม่รู้บิลจะออกมากี่ร้อยแหละ จริงๆ มันเป็นพันแหละ เพราะ 2 ER visits แต่ co-pay 20% ไม่อยากคิดอะไรแล้ว กลับบ้านดีกว่า อิชั้นยังมีภารกิจใหญ่รออยู่ซะด้วย บึ่งกลับบ้านอย่างรีบด่วน ถึงบ้านก็ 9 โมงครึ่ง แบกลูกที่หลับอยู่เข้าบ้าน พอวางลูกลง อิชั้นก็ต้องแจ้นตูดแป้นออกจากบ้านอีก

ภารกิจที่ว่าก็คือ อิชั้นต้องทำอาหารสำหรับ Thanksgiving Dinner ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่อิชั้นต้องทำอาหารประเพณีฝรั่งตามแบบฉบับของฝรั่ง แต๊งส์กีฟวิ่งปีแรกๆ ที่นี่ ก็จะโห่ไปรวมตัวกันที่บ้านยายของอีก๊อต คนโน้นทำไก่งวง คนนี้ทำแฮม คนนี้เอานั่นนี่ไป ฯลฯ ก็บอกๆ ตกลงกันว่าใครจะทำอะไร เอาอะไรไป ส่วนใหญ่ครอบครัวเราจะอาสาซื้อพัมพ์กิ้นพาย หนมปัง-ดินเน่อร์โรล สลัด และเครื่องดื่ม พอยายทวด “โนน่า” ลาโลกไป ครอบครัวนี้ก็รวมตัวกันไม่ติด ก็แยกย้ายกันไปแต๊งส์บ้านใครบ้านมัน กัดกัน ดีกัน อิชั้นไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวยังโดนลูกหลงบ่อยๆ 2-3 ปีให้หลังเราฝากท้องแต๊งส์กีฟวิ่งดินเน่อร์ให้เป็นธุระของ Boston Market พอใกล้ๆ วันก็ไปสั่งไปจ่ายตังค์แล้วก็ไปรับอาหารตอนเที่ยงๆ ในวัน “แต๊งส์” นั่นเลย อาหารก็จะมาแบบอุ่นๆ ถึงบ้านก็อุ่นอีกหน่อย รับทานกันได้เลย ทุกครั้งเราจะสั่งแฮมดินเน่อร์ + ไก่ดินเน่อร์ ไม่ใช่ไก่งวง นะคะ ไก่หมุนธรรมดาๆ จากร้านเค้านั่นแหละ พอมาปีนี้อิแด้ดดี้ก็เกิดอยากทำให้ครบๆ อยากให้อิชั้นทำไก่งวง หาาา….ไก่งวงเหรอวะ ตายห่า ไม่เคยศึกษาสตั๊ดดี้เลยแหละว่าเค้าทำยังไงกัน แต่เป็นคนหัวดีอยู่บ้าง กุไม่ทำร๊อก เดี๋ยวไปซื้อเค้าให้เสร็จๆ ไปเลย 5555 แต่จะให้ไปสั่งร้านดังแบบ Marie Callender's ก็แพงโคตรๆ Turkey Dinner ก็ร้อยต้นๆ Ham Dinner อีก 95 เหรียญ แล้วมีอิชั้นกะไอ้ตี้แค่ 2 คนนะที่อยู่บ้าน อิแด้ดดี้ต้องไปทำงานทุกวันไม่มีหยุดเพราะอยู่ในซี่ซั่น ก็สืบเสาะเปรียบเทียบหลายร้านหลายราคา มาเจอไอ้ซุปเป้อร์มาเก๊ตใกล้ๆ บ้าน ราคาไม่โหดเท่าไหร่ ชุดไก่งวงแค่ 49.99 ตอนไปสั่งก็ถามเค้าแบบคนบ้า “ย้ำคิดย้ำทำ” ปรุงสุกเลยใช่มั๊ย ปรุงสุกเลยใช่ป่าว แด๊กได้เลยแน่นะ อิคนขายก็จ้องหน้าแบบ อึ้ม….. 555 แล้วก็ตอบว่า เยส..แม่ม 555 Everything’s fully cooked just warm them up…ready to eat! เออ ดี ก็จ่ายตังค์ไป แล้วก็บอกเดี่ยวจะมารับเช้าวันแต๊งส์ฯ เลยนะ คุณๆ คะ เช้าวันนั้นน่ะ อิชั้นยังอยู่ที่โรงบาล 30 ไมล์ดาวน์เซ้าท์ไปเลยนะคะ แต่พอถึงบ้าน วางลูกลงเตียง ก็รีบไปรับอาหารที่สั่งไว้ในทันที กะไว้ว่า เดี่ยวไปรับมาแล้วจะของีบซะหน่อย เพราะไม่ได้นอนมามากกว่า 24 ชั่วโมงแล้ว พอตื่นแล้วค่อยอุ่น จัดโต๊ะ แพ๊คให้ผัวเอาไปฉลองแต๊งส์ฯ ที่ทำงาน แยกๆ กันฉลองตามปกติเหมือนทุกปี

page-486

พอไปรับไอ้กล่องปริศนามาแล้ว ถึงบ้าน เปิดดูซะหน่อย (ตอนที่รับกล่องมา คนขายบอก Instruction is in the box!) พอเปิดออกมาต้อง ผงะ! เฮ้ยยยย…. ไอ้ไก่งวง ยังโฟรเซ่นแข็งโป้ก นี่ดีนะที่เปิดดูก่อน ไม่วางไว้แล้วหนีไปนอนเลย พออ่านวิธีทำ วิธีอุ่น ก็อยากร้องไห้เลย ไอ้นกยักษ์นี่ต้องเอามา Thawed ในตู้เย็นธรรมดา 2-5 วันก่อนอุ่น ห้ามทิ้งไว้ในอุณภูมิห้อง เวลาอุ่นก็ใช้ไฟ 325°F อบไป 2 - 2.5 ชั่วโมง ตายห่าละกรู… ทำไงดีกะไอ้ก้อนนกยักษ์น้ำแข็ง อย่างที่บอกแหละ เป็นคนฉลาดมาก 5555 เลยเอาไอ้ไก่งวงไปอาบน้ำร้อนซะเลย แบกนกยักษ์ไปลงกะมังในอ่างอาบน้ำ เปิดน้ำร้อนล้วนๆ ลงไป พอมองดูแล้วก็ขำ 5555 Turkish Bath (Turky Bath) เป็นอย่างนี้นี่เอง โปรดดูรูปข้างล่างในอ่างสีเขียวแอ๋นนั่น 55555 แล้วก็ทิ้งไว้อย่างนั้น 2 ชั่วโมง เปิดน้ำร้อนให้ไหลเบาๆ ไปตลอด …. ลุ้นกันต่อไป อ้อในกล่องมีให้ครบนอกเหนือไปจากเจ้าไก่งวงแล้วก็มี Turkey Stuffing, Mashed Potatoes, Turkey Gravy, Cranberry Sauce, Green Bean Casserole, Butter Rolls, และ Pumpkin Pie ส่วนวิปครีมต้องซื้อเองต่างหาก เพราะเป็นหัวหน้าแผนกดิ้นรนมาตลอดชีวิต เลยลากซื้อแฮมมาด้วย 1 ก้อนเล็ก (4 ปอนด์) ไม่เคยทำเลยนะ แต่เห็นว่าลูกผัวชอบกินกัน แล้วก็ไม่ลืมลากสับปะรดกระป๋องมา 1 กระป๋อง กับ Cloves อีก 1 กระปุก

page-488

ระหว่างที่รอไก่งวงละลาย อิชั้นก็รีบใช่เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เป็นประโยชน์ รีบ “อบ” แฮม เพราะอยากประหยัด ไม่อยากเสียตังค์ซื้อแฮมดินเน่อร์ ซึ่งราคา 49.99 เท่ากัน เลยขอลองอบเอง อะไรๆ มันต้องมีครั้งแรกเสมอใช่ป่าว ถูก-ผิด ดี-ชั่ว ยังไงก็ลุ้นกันไป เริ่มจากเอาแฮมมาผ่าครึ่งซีกเลย คิดว่าอบเป็นก้อนโด่ๆ มันไม่น่าจะฉ่ำชุ่มอย่างที่ควรจะเป็น จากนั้นก็สาดน้ำตาลทรายแดงลงไป เขวี้ยงไอ้ cloves ลงไป ราดด้วยน้ำสับปะรด แล้วจบด้วยการโปะสับปะรดลงไป อบที่ 325°F ไป 2 ชั่วโมง ตอนที่อบนะ..บ้านหอมหวานๆ หอมแบบน้ำสับปะรดกรุ่นไปทั้งบ้านเลย พอเอาออกจากเตาอบไอ้สับปะรดก็เหี่ยวๆ ไปหน่อยนึง เอา อลูมิเนียมฟอยด์ปิด ตั้งพักไว้

page-487

ไปลากไอ้ไก่งวงที่อาบน้ำ turkish bath อยู่นานเชียว คงได้รีแล๊กซ์พอสมควรแล้ว 5555 แช่ทั้งถุงเลยนะ มันห่อมาแบบ vacuum-seal ก็เลยไม่ต้องห่วงว่ามันจะจืดจางอะไร จากนั้นตัดออกมาจากถุง วางบนตะแลงแกง จับมัดตราสังข์ 5555 ม่ายช่ายยยย… เอาเชือกที่เค้าให้มาคล้องในตำแหน่งที่เค้าบอกไว้ เวลาอบเสร็จจะได้ยกออกจากถาดที่อบมาวางบนจานที่ตกแต่งสวยงามได้โดยสะดวก แต่อิชั้นวางตั้งโต๊ะทั้งถาดอลูมิเนียมฟอยด์นั่นเลย จากนั้นเอาน้ำมันพืชชะโลม มิใช่แทนนิ่งออยนะคะ 555 เอาใส่เตาอบ อบไปเลย 2 – 2.5 ชั่วโมง อิชั้นก็นั่งๆ นอนๆ ดูมีวี เผลอหลับไป แล้วสะดุ้งตื่น ก่อน timer ที่ตั้งไว้ 2.5 ชั่วโมงซะอีก โห…. อีไก่งวงของอิชั้น มันเกรียมซะมากมายเลยค่ะ กลายเป็น Turkey Jerky เลยค่ะ ลืมมันไว้ใน Tanning Bed นานไปหน่อย เอาวะ ครั้งแรก ผิดเป็นครู (ไม่รู้จะมีครั้งที่ 2-3-4-5 หรือป่าว ผิดไปเรื่อยๆ เป็นครูใหญ่ ผู้อำนวยการ ไม่นานก็คงได้เป็น อธิการบดี 5555) จากนั้นก็ทะยอยเอาไอ้พวกเครื่องเคียงมาอบที่ละถาด สองถาด เสร็จสรรพ ตั้งโต๊ะ มีแขกผู้มีเกือกมารับทาน 2 คน คือไอ้ตี๊ฟ พี่เขยใจม๋า กับเมีย (ก็ไอ้พวกอินลอว์ของอิชั้นมันกัดกันนุงนัง ไอ้คู่นี้ไม่มีที่ไป อิก๊อตก็เกิดใจงาม โทรไปชวนเค้า ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่อยู่กินด้วย) ก็กินๆ คุยๆ กันไป ก็ถือว่า having good time พอสมควร อิชั้นเองง่วงเพราะอดนอนจนรู้สึกพะอืดพะอม อยากอ้วกอย่างบอกไม่ถูก แต่พอฟาดเบียร์เข้าไป 2-3 ขวด กระปรี้กระเป่าขึ้นมาเชียว คุยกะพี่สะใภ้ชาวจีนที่อ่อนวัยกว่าเยอะ สนุกสนานกัน 2 คน รู้เรื่องมั่ง-ไม่รู้เรื่องมั่ง ก็คุยกันอยู่เป็นนาน พอใกล้ 2 ทุ่มก็เลยจัดสำรับไปส่งให้อิก๊อตที่ที่ทำงาน สองคนผัวเมียก็เลยลากลับไป

page-489

ไก่งวงที่อบจนแห้งแก่ก ไม่มีใครกิน วันนั้นก็แล่แจกกันคนละนิดละหน่อยพอเป็นพิธี เหมือนกิน cardboard เลย 5555 ก่อนเข้านอน (ทั้งๆ ที่โคตรง่วง) ได้ตัด แคะ แกะ และเนื้อนกยักษ์นั่นออกจนเกลี้ยงเกลา เก็บแช่ฟรีซเซ่อร์ไว้ พอบ่ายๆ วันเสาร์นั่งรอให้เค้าเอาอีรอมมาส่งคืน ก็เลยหุงข้างเหนียวแล้วเอาเนื้อไก่งวงที่แช่แข็งไว้ออกมาทำไก่งวงคั่วเค็ม ทำแบบหวานๆ เค็มๆ เพราะรอมมี่ชอบ เคยทำเวลามีไก่หมุนที่ซื้อมากินไม่หมดแกะเนื้อแล้วแช่เก็บไว้ พอรวมได้เยอะหน่อยก็เอามาทำไก่คั่วเค็มให้ลูกกินเล่น แต่ไม่เคยทำไก่งวงคั่วเค็มเลยนะ ทำไปทำมา คนไปคนมา กลายเป็นไก่งวงหยอง 5555 คงเก็บไว้กินเล่นได้หลายวัน ดีกว่าทิ้งเน๊าะ ถ้าหมาแจ๊คสันยังอยู่ ก็ไม่ได้กินกันหรอก ไอ้ไก่งวงหยองเนี่ย 55555

ยังไงก็ Happy Thanksgiving ย้อนหลัง แล้วก็เตรียมตัว Happy Holidays กันนะคะ ปีนี้บ้านเรายังตกลงกันไม่ได้เลยว่าจะตั้งต้นคริสต์มาสหรือป่าว ปกติเราจะลากต้นคริสต์มาสและเครื่องประดับประดาออกมาเตรียมไว้ แล้วเริ่มตั้งต้นและตกแต่งกันในคืนแต๊งส์กีฟวิ่งเป็นประเพณีปฏิบัติทุกปี ปีนี้ครอบครัวเราดู อืดๆ หนืดๆ งงๆ เป็นบ้ากันไปแล้วมั๊ง 555555 ลงเอยยังไงแล้วจะมาเล่าให้ฟังค่ะ

xoakst-happyholidays2

If you cannot get rid of the family skeleton,

you may as well make it dance.

ProudMommy-01

Friday, November 13, 2009

Where the Wild Things Are

wtwa

ช่วงที่รอมมี่ไปแค้มป์ สามีอิชั้นต้องไปหาหมอเพราะเจ็บป่วยนิดหน่อย เลยลาป่วยซะ 1 วัน อิตาคนนี้ไม่เคยไปทำงานสาย ไม่ค่อยลาป่วย นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เพราะไม่ได้เจ็บป่วยหนักหนาอะไร หลังจากพบแพทย์ก็เลยแวะไปช๊อปปิ้งกันนิดหน่อย กินอะไรอร่อยๆ กัน พอจะขับรถกลับบ้านเลยชวนกันไปดูหนังเด็ก (เล็ก) จริงๆ แล้วอิพ่อมันอยากดูเรื่อง Astro Boy ส่วนอิแม่มันอยากให้ไอ้ตี้ดูหนังที่เค้าสร้างจากหนังสือเยาวชนคลาสสิค อิแม่ชนะอยู่แล้ว 5555 แถมเป็น Big Fan ของพี่ James Gandolfini (Tony Soprano) ซึ่งเป็นผู้ให้เสียงไอ้สัตว์ประหลาดที่มีบทนำ ชื่อ Carol ในเรื่องนี้ด้วย (ไอ้เอสโตรบอยเนี่ย ใช่ที่เป็นหนังการ์ตูนทีวีที่ดูกันตอนเด็กๆ เรื่องเจ้าหนูปรมาณู ที่มีสิงโตผู้ช่วยชื่อลีโอ ใช่หรือปล่าวพี่อ้วน…. ช่วยตอบที)

where-the-wild-things-are

Where the Wild Things Are เป็นหนังสือที่เด็กๆ ทั่วโลกได้อ่าน ไม่ว่าจะอ่านที่บ้านหรือที่โรงเรียน หลายๆ แม่ดิ้นรนซื้อหามาให้ลูกได้อ่าน ได้มีในครอบครอง กลัวลูกจะตกเทรนด์ กลัวว่าตัวเองจะเป็นแม่ไม่มีรสนิยมวิไล กลัวว่าจะเป็นแม่ประเภท uneducated 5555 เลยต้องพากันซื้อหน้งสือ classic & well-known children books อย่างพวกหนังสือของ Dr. Seuss ที่เป็น Bestselling of all time 555 เช่น Green Eggs and Ham, The Cat in the Hat, and One Fish Two Fish Red Fish Blue Fish เป็นต้น หลายๆ แม่ value การอ่าน หลายๆ แม่ซื้อมาไว้ประดับบ้านและตู้หนังสือเพื่อเสริมบารมี อิชั้นเป็นแม่ที่ส่งเสริมการอ่าน แต่ทุนทรัพย์มีน้อย อันไหนพอซื้อได้ก็จะซื้อ ถ้าแพง…ก็ฝัลลลล์…ไปเถอะลูก หนังสือที่จะซื้อให้ลูก อิชั้นต้องสกรีนก่อน หนึ่งปัจจัยในหลายๆ ปัจจัยที่อิชั้นนำมาร่วมตัดสินเวลาซื้อหนังสือให้ลูกคือ รูปภาพสวย เจริญหูเจริญตา นอกเหนือไปจาก เนื้อหา แง่คิด คุณภาพ และราคาเป็นลำดับต้นๆ เพราะฉะนั้นบ้านเราไม่มีหนังสือ Where the Wild Things Are และ Dr. Seuss’s Bestselling books แน่นอน รูปภาพและคุณภาพมันไม่สวยงามเอาเลยเชียว แต่ไม่ต้องกลัวว่าลูกสุดที่รักของอิชั้นจะพลาดหนังสือพวกนี้ เพราะมีให้เห็น ให้อ่าน ได้ทุกโรงเรียน ทุกห้องสมุด หรือบางทีพบได้ตามคลีนิคต่างๆ ด้วย โชคดีที่ลูกชอบอ่านหนังสือ ทริปช้อปปิ้งที่ลูกชอบและใช้เวลาอยู่ได้นานๆ คือ ร้านหนังสือ Borders รองลงมาคือ Barnes & Noble และอนุญาตให้ซื้อหนังสือได้ 1-2 เล่มเท่านั้น เพราะแม่…บ่อจี๊ 5555

where-the-wild-things-are-poster-1

ด้วยสติปัญญาที่อิชั้นมีอยู่บ้าง….เท่าที่มีนั่นแหละ 555 กับไอ้หนังสือที่กล่าวข้างต้น (โดยเฉพาะของด๊อกเต้อร์ซู้สส์) ดิฉันได้อ่าน แล้ววิเคระห์ตามอำเภอใจและอิงหลักวิชาการ (Analytical Reading ที่เล่าเรียนมา 555) หรือในแง่จิตวิเคราะห์ เนื้อหา คุณประโยชน์ psychology หรือ symbolism พออ่านแต่ละเล่มจบแล้ว มันไม่ให้แง่คิดดีๆ สร้างสรรค์ หรือ ให้แง่คิด แบบ… นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 555 ที่เด็กๆ จะได้บ้างก็คือคำคล้องจองรูปและเสียง rhymes แต่ความคิดและมุมมองของคนเราต่างกัน ไทย จีน แขก ฝรั่งก็คิดต่างกัน อิชั้นคิดว่าฝรั่งให้ความสำคัญถึงเรื่องจินตนาการ เพ้อฝันมากกว่าคนไทย ที่เน้น เหตุและผล คุณและโทษ มากกว่า อิชั้นอ่านไอ้หนังสือ Where the Wild Things Are แล้วก็ได้แค่ There’s nothing really, Max, he’s just a problem child..!! Please don’t take it personal…it’s just my opinion.

wildthings

จากหนังสือ รูปและเรื่อง ไม่น่าสนใจเลยสำหรับอิชั้น แต่สำหรับเด็กๆ อิชั้นไม่ทราบ นอกจากเด็กโตที่บ้าน ซึ่งได้อ่านนิทานเล่มนี้หลายรอบ คำตอบที่ได้ก็คือ “ไม่เห็นสนุกเลย” 5555 พอถามว่าอยากดูที่เค้าทำเป็นหนังมั๊ย แม่จะพาไปดู คำตอบที่ได้คือ “Nah ah” ที่อิชั้นพาไอ้ตัวเล็กไปดูก็เพราะคิดว่าลูกอาจชอบหรือสนใจ ปรากฏว่า… ไอ้ตี้ไม่หันไปมองจอหนังเลย สนุกสนานกับเก้าอี้ที่พับได้ เอ็นจอยข้าวโพดคั่วและเครื่องดื่ม เล่น armrest ที่พับขึ้นลงได้ เดินเล่นไปมา ไม่หลับเลย เจ้าก๊อตตี้ไม่ได้ก่อกวนผู้ชมคนอื่นๆ ในโรงหนังเลย ลูกไม่ได้ส่งเสียงดังอะไร แล้ววันนั้นเป็นวันจ้นทร์ โรงหนังโล่งโจ้ง มีอีกครอบครัวนึง แม่กับลูกรุ่นจิ๋ว รวมแล้วหนังรอบนั้นมีผู้ชมแค่ 7 คน รวมเรา 3 คนพ่อแม่ลูกด้วยนะ ส่วนอิพ่อมันหลับกรนคร่อกตั้งแต่กลางๆ เรื่องจนจบ อิแม่มันก็ดูๆ ไปงั้นๆ ชื่นชมงานสร้างเค้า เป็น production ที่ใช้ได้ทีเดียว คอสตูม ตัวสัตว์ประหลาดทั้งหลายทำรายละเอียดได้ดี ขนเกรอะกรัง รุงรัง ดูสกปรก มองแล้วน่าจะเหม็นสาป มีจมูกชื้นๆ เหมือนหมูหมาแมวจริงๆ บางทีมีขี้มูกไหล ตา จมูก ปาก ขยับเขยื่อน ได้เหมือนจริง แต่มาสะดุดตาสะดุดใจกับ 1 ตัวละคร 555 ขอขำก่อน 555 เจ้าตัวนั้นคือ The Bull เป็นตัวที่ชอบ isolated จากกลุ่มตลอด แต่ก็ตามๆ เค้าไปนะ ทำอะไรก็ทำด้วย เงียบๆ สังเกตการณ์ observed จนเหมือน antisocial ไม่มีบทพูดจา เหมือนใครคนหนึ่งที่อิชั้นรู้จักเป็นอย่างดี กร๊ากกก……ผัวของอิชั้นเองเจ้าค่าาา…. 55555

where-the-wild-things-are-posters

“Where the Wild Things Are” is a 1963 children's picture book by American writer and illustrator Maurice Sendak, originally published by Harper & Row. The book has been adapted into other media several times, including an animated short, an opera, and, in 2009, a live-action feature film adaptation and video game. As of 2008, the book has sold over 19 million copies worldwide according to HarperCollins.

Plot : The book tells the story of Max, who one evening plays around his home, "making mischief" in a wolf costume. As punishment, his mother sends him to bed without supper. In his room, a mysterious, wild forest and sea grows out of his imagination, and Max sails to the land of the Wild Things. The Wild Things are fearsome-looking monsters, but Max conquers them "by staring into their yellow eyes without blinking once", and he is made "the King of all Wild Things", dancing with the monsters in a "wild rumpus". He soon finds himself lonely and homesick, and he returns home to his bedroom, where he finds his supper waiting for him, still hot.

THANKS >> http://en.wikipedia.org/wiki/Where_the_Wild_Things_Are

OohAraiwa-12

Thursday, November 12, 2009

เปลี่ยนไปตามฤดูกาล

เห็นรูปแล้วดูเหมือนเป็นควันหลงฮัลโลวีน จะว่าใช่ก็ใช่ค่ะ คือ ครอบครัวเราบ้าจี้ เปลี่ยนของใช้ไปเรื่อยๆ ตามฤดูกาล แล้วก็ตามหลังฤดูกาลด้วย อย่างปีนี้ พอเริ่มเดือนตุลาคม อิชั้นก็เปลี่ยนสบู่ล้างมือในครัวและห้องน้ำ ให้เข้าบรรยากาศ Halloween และ Harvest Season หรือ Fall Season รวมทั้งเปลี่ยนไอ้ตัวที่เสียบปลั๊ก Wallflower ให้บ้านหอมๆ ด้วย จากเป็นอะไรจืดๆ เซ็งๆ ก็เอาไอ้พัมพ์กิ้นโจรสลัดซึ่งที่ ตา จมูก ปาก เป็นไน้ท์ไล้ท์ด้วย แต่เปลี่ยนเป็นกลิ่น Evergreen ป่าต้นสนแทน เพราะไม่ค่อยชอบกลิ่น Pumpkin Spice เท่าไหร่ สบู่ล้างมือก็กลิ่นนั้นแล้ว รอใช้ให้หมดจะเอากลิ่นส้มมาเติมใส่แทน สีส้มๆ เหมือนกัน แล้วกลิ่นส้มก็เป็นกลิ่นโปรดด้วย จำได้ว่าวันแรกที่เอาไอ้กลิ่นเอเว่อกรีนมาเสียบแทน Wallflower (Dancing Water)ที่เสียบอยู่ก่อน คุณซะมีเลิกงานเดินเข้าบ้าน ทำจมูกฟุตฟิตแล้วชมใหญ่ หอมดี แล้วถามว่า Christmas already? อะไรที่มันจำเจ อบอวลอยู่นาน จมูกก็ชินชา เลยไม่ได้กลิ่น พอได้กลิ่นใหม่ๆ ที่แปลกไปก็รู้สึกได้ นี่ก็ 2 เดือนผ่านไป ชักจะไม่ได้กลิ่นกันแระ นอกจากเวลาออกไปไหนกันแล้วเปิดประตูเข้าบ้านก็ได้กลิ่นกันที คนอื่นๆ หรือใครไปใครมาก็จะทักว่าบ้านหอมดี เจ้าของบ้านก็หน้าบานได้อีก เดี๋ยวหลัง Thanksgiving ก็เปลี่ยนเป็นพวกสโนว์แมน แซนต้า ….5555 ถือว่าเป็นความบันเทิงเล็กๆ ของครอบครัวเราเลยก็ว่าได้

ThingPage-11

ตานี้ก็มาถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูไม่สลักสำคัญอะไร มันคือแน๊พกิ้นธรรมดาๆ นี่เองค่ะ อิชั้นจะซื้อให้ลายแปลกใหม่ไปเรื่อยๆ บางทีก็ซื้อให้เข้ากับเทศกาล บ่อยๆ ที่ซื้อหลังเทศกาล เพราะเค้าจะขนมา “โล๊ะราคา” เหลือแพ๊คละเหรียญเดียว อย่างตอนนี้เรายังใช้ลายฮัลโลวีนอยู่เลย ส่วนไอ้ลายบาร์บีคิวจากช่วงซัมเม่อร์นั่นตุนไว้หลายแพ๊คเหมือนกัน บ้านนี้ใช้เปลือง แล้วที่คาดไม่ถึงว่าจะได้จากกระดาษแน๊พกิ้นธรรมดาๆ ก็คือ ตอนที่ลูกชายไอ้ตี้เป็นเบบี้ ช่วยให้ลูกหัดพูด หัดชี้ เวลาป้อนอาหารลูกจะเห็นลูกพินิจพิจารณาไอ้แน๊พกิ้นเนี่ย จิ้มนั่น ชี้นี่แล้วก็ทำเสียงตลกๆ อู้…เอ๊ะๆ ก็เลยมีเรื่องชวนลูกคุยและหลอกล่อให้ลูกกินอาหารได้บ้าง ทุกวันนี้ลูกพูดได้เยอะแล้วแต่ยังชอบดูลายต่างๆ ที่พิมพ์บนแน๊พกิ้นอยู่เลย แล้วก็บอกแม่นี่ตัวเหมียวๆ นี่ตัวคิตตี้ สิงสาราสัตว์ ข้าวของอะไร ดูน่าสนใจมากๆ สำหรับลูก มีอยู่รูปนึง ไอ้ตี้บอกว่า “อันนี้…กรีมมู” ทายกันไม่ถูกล่ะสิว่าหมายถึงอะไร 5555 มันคือ ไอศครีมค่า…5555 ไอศครีมที่ซื้อมาแช่ไว้ประจำช่องฟรีซจะมีรูปวัวพิมพ์อยู่ที่กล่อง ไอ้ตี้เรียกวัวว่า มูมู แล้วก็เรียกไอศครีมว่า กรีมๆ ไม่รู้ไปไงมาไง ไอ้ตี้เรียกไอศกรีมว่า กรีมมู มาได้หลายเดือนแล้ว 5555

page-292

อันนี้เป็นของใช้ในครัวที่ไม่ได้ซื้อหามาใช้แล้วเปลี่ยนไปตามฤดูกาล แต่ใช้กันมาตลอดชาติเลย คือ ภาชนะกระดาษที่ใช้แล้วทิ้ง อันแรกทุกคนในครอบครัวเรียกเหมือนกันว่า “เรือ-boat” กระทงกระดาษอันนี้บ้านเราใช้เปลืองมากๆ แพ๊ค 250 ใช้ได้ 2-3 เดือนเท่านั้น เพราะใส่ขนมให้ลูก ใส่อาหารอุ่นในไมโครเวฟ ฯลฯ สารพัดประโยชน์จริงๆ เค้ามีขายหลายไซ้ส์นะ สำหรับบ้านเราอันนี้พอดีแล้ว ไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป เวลาใส่ขนมหรืออาหารให้ลูกถือไปมาก็ไม่ใหญ่กว้างเกะกะ ไม่หกกระจายง่ายเหมือนจานกระดาษอ่อนๆ ส่วนจานกระดาษอันนี้เป็นจานกระดาษที่แข็งแรงมากๆ ไม่ต้องใช้ตระกร้าพลากสติก (รูปที่ 3 ด้านล่างซ้าย) รองเลย เวลาจานแข็งๆ นี้ขาดครัว แล้วซื้อที่มันบางๆ flimsy มาใช้ก็ต้องใช้ไอ้นั่นช่วยรองก้นจาน

page-293

เวลาทานอาหารเป็นมื้อๆ ตามปกติ ครอบครัวเราก็ใช้ถ้วย จาน ชาม ช้อน ปกติค่ะ ไอ้พวกกระดาษเนี่ยใช้เวลาสแน๊คเท่านั้น หรือเวลาที่ทานไม่เป็นมื้อ พิซซ่า บาร์บีคิว หรือเวลามีญาติโกโหติกามาบุก ก็กินๆ เหวี่ยงๆ ให้มันจบๆ เสร็จๆ ไม่ต้องมาเก็บล้างให้ยุ่งยาก แม่บ้านเชาเชาหลังยาวถนีดอยู่แล้ว 5555

If you can't do the time,

don't do the crime.

HaveNiceDay-01

Tuesday, November 10, 2009

The discipline tool kit: Successful strategies for every age

วันนี้มาแบบนักวิชาการ 5555 เพราะไปอ่านบทความนี้แล้ว…ฮึ่ม อิชั้นน่าจะได้รับรางวัล “คุณแม่ยอดแย่” ประจำปี ประจำชาติ ประจำชาตินี้-ชาติหน้า ฯลฯ ได้เลยทีเดียว เพราะไม่สามารถทำตามทฤษฎีการเลี้ยงลูกใดๆ ได้เลย โดยเฉพาะ be consistent and unwavering ในทุกๆ เรื่อง …บางทีก็แบบ….วันนี้มาแรง…เข้มงวดซะ วันรุ่งขึ้น (บางทีไม่ข้ามวัน หรือข้ามชั่วโมงด้วยซ้ำไป) ก็พาลูกแหกกฏซะเอง อยู่ๆ อิแม่มันก็ “หยวน” ซะงั้น ทั้งๆ ที่ขึงตึงเปี๊ยะอยู่ก่อน ทำให้ลูกรู้แกวตลอด แล้วสอนลูกๆ เรื่อง consequences เนี่ย มันเหมือนสีซอให้ฟายฟังมากๆ โดยเฉพาะอีตัวโต (อย่าเพิ่งไปคาดหวังเรื่องนี้กะไอ้ตัวเล็ก ฟาด ป้าบๆ อยู่เมื่อกี้ มันก็ทำอีกแระ เฮ้อ) เวลาสอนลูก มันก็ หือ ก็อือ ดีนะ แล้วมันก็ทำไอ้เราแนะนำสั่งสอนไปว่า อย่านะ อย่าเชียว เดี๋ยวจะนั่น เดี๋ยวจะนี่ ไม่ดีนะลูก ไม่เท่าไหร่ เรื่องเก่าเรื่องเดิมมีให้ได้โมโหอยู่ตลอด เอามาแปะ เผื่อว่ายอดคุณแม่ทั้งหลายมาอ่านแล้วสามารถนำไปใช้แล้วเกิดผล อิชั้นก็จะยินดีมากๆ ค่ะ ซ้าาาา….ตุ๊

The discipline tool kit: Successful strategies for every age

by Melanie Haiken
Last updated: August 2008

We've all seen them: the out-of-control toddler hurling handfuls of sand at the park; the whiny-voiced 3-year-old begging for candy in the grocery line; the sassy 7-year-old yelling "you can't make me!" at the restaurant.

And we've privately dissed their parents, reassuring ourselves that we'd never be such a wimp if our child was terrorizing the playground or disrupting everyone's dinner.


But then it happens: the massive meltdown that takes you completely by surprise. And suddenly you are that parent — the one flailing to figure out what to do. The truth is, every child presents discipline challenges at every age, and it's up to us to figure out how to handle them.


Why is discipline such a big dilemma? Because it feels like a tightrope act. On one side there's the peril of permissiveness — no one wants to raise a brat. On the other side there's the fear of over-control — who wants to be the hardliner raising cowed, sullen kids?


What we need is a comfortable middle ground to ensure that our little ones grow up to be respectful, caring, and well behaved.

First, the ground rules

To set the stage for discipline success, here are the bottom-line rules many experts agree on:

1. We're all in this together. Right from the start, teach your kids that your family is a mutual support system, meaning that everyone pitches in. Even a baby can learn to "help" you lift her by reaching out her arms, says Madelyn Swift, founder and director of Childright and author of Discipline for Life, Getting It Right With Children.

2. Respect is mutual. One of the most common complaints parents and kids have about each other is "You're not listening." Set a good example early on: When your child tries to tell you something, stop what you're doing, focus your attention, and listen. Later you can require the same courtesy from her.

3. Consistency is king. One good way to raise a child with emotional strength? Be consistent and unwavering about rules and chores, says Harvard professor Dan Kindlon, author of Too Much of a Good Thing. Even if you pick just one chore to insist on, your child will be better off, Kindlon says. "Being firm and consistent teaches your child that you care enough about him to expect responsible behavior."

4. Life's not always fair. We're so afraid of disappointing or upsetting our kids — too afraid, say some discipline pros. "If a child never experiences the pain of frustration — of having to share a toy or wait their turn in line — or if they're never sad or disappointed, they won't develop psychological skills that are crucial for their future happiness," says Kindlon. So if your child's upset because a younger sibling got a different punishment, for example, it's okay to say "I understand that this seems unfair to you, and I'm sorry you're upset, but life isn't always fair."

The tools: Babies, toddlers, and up

A disclaimer: These tools aren't guaranteed to work every time, and none of them will be right for every parent and child. But they will give you options — and what parent doesn't need more to choose from in his or her personal bag of tricks?

Tool: Lavish love

Age: Birth to 12 months (and beyond!)

How it works: It's easy to wonder whether you're giving in when you pick your baby up for the umpteenth time. Is it time to start setting limits? Not yet, say the pros. Responding to your baby's needs won't make her overly demanding or "spoiled." "It's impossible to spoil or overindulge a baby," says Kathryn Kvols, an expert who teaches parenting workshops on discipline and development.


In fact, the opposite is true: By giving your child as much love and attention as possible now, you're helping her become a well-adjusted and well-behaved person. "Your baby is developing trust in her parents, and she does that by knowing that you'll be there to meet her needs," Kvols says.


That trust means that in the long run your child will feel more secure and less anxious, knowing that you take her wants and needs seriously. She'll have confidence in you later, when it's time to set boundaries and lay down rules, and understand that you love her even when you correct her.


Real-life application: Your 4-month-old is crying even though you nursed her a half-hour ago. Your mother-in-law says to let her cry it out. Wrong, say experts: By crying she's telling you she needs something, even if you don't know what it is. Try walking with her, nursing her again, or singing to her. She needs to know you'll be there for her, even if all that's wrong is that she wants to be held.

Tool: Remove and substitute

Age: 6 to 18 months

How it works: Like the rest of us, young children learn by doing — so when your baby throws his bowl of peas off the highchair tray, it's because he's curious to see what will happen, not because he wants to upset you or mess up your clean kitchen floor.


That said, you don't have to stand by while your child does something you don't like. And you definitely don't want to stand by if your little one's grabbing for something dangerous. Take the object away or physically move your baby away from it. Then give him a safe, less-messy or less-destructive alternative. "Substituting something else will prevent a meltdown," Kvols says.

Make sure you explain what you're doing to your child, even if he's too young to really understand. You're teaching a fundamental discipline lesson — that some behaviors aren't acceptable, and that you'll be redirecting him when necessary.


Real-life application: Your 8-month-old keeps grabbing your favorite necklace and chewing on the beads. Instead of letting him, or continuing to pull it out of his hands, unclasp the necklace and put it aside, explaining simply that your jewelry is not for chewing. Then hand your baby a teething ring or another chewable toy and say, "This is fine to chew on."


Tool: Right wrongs together

Age: 12 to 24 months

How it works: Going back to the peas example above — there's a difference between a baby who playfully throws her bowl to the floor and a young toddler who knows she's creating a mess for Mommy or Daddy to clean up.


That turning point happens when your child becomes capable of knowing when she's doing something she's not supposed to, often around her first birthday. "When she looks at you with that glint in her eye and then drops the peas, you know it's time to do something." says expert Madelyn Swift. What you do, says Swift, is start teaching the concept of taking responsibility for her actions.
Real-life application: Your toddler's made a mess under her highchair. When she's finished eating, lift her up, set her on the floor, and ask her to hand you some peas so she's "helping" you take care of it. Talk to her about what you're doing: "Okay, we made a mess with the peas so we have to clean it up."


Tool: Emphasize the positive

Age: 12 months and up

How it works: This one's easy: Tell your child when you like how he's behaving, rather than speaking up only when he's doing something wrong. "It takes a bit of practice to get in the habit of rewarding good behavior rather than punishing bad, but it's more effective in the end," says Ruth Peters, a clinical psychologist in Clearwater, Florida, and author of Don't Be Afraid to Discipline and other books.


Real-life application: It's nap time, a potential battle zone with your sometimes resistant toddler. Head it off by praising even small steps: "It's so great that you stopped playing with your blocks when I asked you to. That means we have extra time and can read a story. If you lie down right away, we'll have even more time and can read two stories." Keep praising each improvement he makes in his nap time routine, and make it worth his while with rewards such as stories or songs.


Tool: Ask for your child's help

Age: 12 months to 8 years

How it works: Researchers know something parents may not: Kids come into the world programmed to be helpful and cooperative. All we have to do as parents is take advantage of this natural tendency. "Kids are innately wired to want to cooperate," says Kathryn Kvols. "A lot of times we parents just don't notice this because we don't expect children to be helpful."


A 2006 study backs up this idea: Researchers at the Max Planck Institute for Evolutionary Anthropology discovered that toddlers as young as 18 months already have full-fledged qualities of altruism and cooperation.


The way they demonstrated this was simple. A researcher would "struggle" to hang up a towel with a clothespin or stack up a pile of books. When he dropped the clothespin or tipped the books over, the toddlers would race to pick up the clothespin and hand it back, or restack the books. But when the researcher made the same mistakes without struggling — that is, without looking like he needed help — the toddlers didn't budge. They understood what it meant to be helpful.


Get your child involved in daily tasks around the house so she learns that everybody works together. "I recommend that parents find things their children can do, whether it's washing vegetables, feeding the dog, or sorting laundry," Kvols says. "You're teaching your child to be helpful, which is one of the most important life skills. We've found time and again that the people who are most mentally healthy are those who've learned to be of service to others."


While this may not sound like a discipline strategy, just wait: If you've taught your child to be cooperative, you can call on this quality when you need it. For example, giving your toddler a "job" to do can defuse some of the most common tantrum-provoking situations. Kathryn Kvols put this to use when her son, Tyler, refused to get into his car seat. She made him "boss of the seatbelts" — he had to make sure everyone in the car was buckled in before the driver could start the car. The battle over the car seat was over.


Real-life application: Let's take the grocery store aisle, site of infamous meltdowns. When your child wriggles to get out of the cart, you can hold up a box of raisins and say: "I need to get food for us to eat, and I need you to help me." Then hand him the box and let him drop it behind him into the cart. You can also ask him to be your "lookout" and help you spot certain favorite foods on the shelf.


Tool: Manage anger

Age: 12 to 24 months

How it works: Toddlers are tantrum-prone because they're not yet able to control their emotions, experts say. "Tantrums aren't really a discipline issue, they're about anger management," says Madelyn Swift. "Tantrums happen when kids don't get their way and they're mad."
Step one in this situation is to let your child calm down in whatever way works best for her. If she'll let you hold her, hug and rock her until she's quiet. If touching her only sets her off again, give her space to calm down by herself.


Don't try to talk to her about what happened until she's over the emotional storm, Swift says. But once it's over, don't let relief prevent you from addressing what happened. Instead, replay the tape and return to the scene of the crime. It's time to fix whatever mistakes were made.


Real-life application: Your toddler didn't want to get dressed and threw a fit, hurling toy cars around the room. Once she's stable, take her back to the toy cars and calmly but firmly tell her it's time to pick them up. If the task seems too daunting, split it up. Point to one pile of cars and say, "You pick up these cars and I'll pick up the ones over there." Stay there until your toddler has finished her portion of the job.


If she refuses and has another tantrum, the cycle repeats itself. But wait longer for her to settle down this time, and make sure she knows you mean business. Then back to the cars you go.


Tool: Talk toddler-ese

Age: 12 to 24 months

How it works: The secret to getting your toddler to do what's right — or to stop doing what he shouldn't — can be as simple as communicating in a way he can truly understand. Pediatrician Harvey Karp, author of The Happiest Toddler on the Block, tells parents to view their toddler as a "little Neanderthal" and talk to him as such. In other words, get down to his "primitive" level and keep it really, really simple.


Karp calls his communication strategy The Fast Food Rule because you're basically operating like a drive-through cashier: You repeat back the order, then name the price. Use short phrases with lots of repetition, gestures, and emotion to show your child that you get what's going on in his head.


Real-life application: Your toddler yanks a truck out of his friend's hands. Instead of plopping him down in a time-out or trying to explain why what he did was wrong — both strategies that assume your child's more sophisticated than he is — take a few minutes to echo what he seems to be thinking and feeling back to him: "You want the truck."


Validating your child's feelings will help him settle down, and once he's calm enough to listen, you can deliver your discipline message. But again, give him the stripped-down version: "No grab, no grab, it's Max's turn." Note: This may feel silly at first, but it will work.


Tool: Listen to "no"

Age: 12 to 36 months

How it works: "No" is one of the first words many kids learn to say, and it almost immediately becomes the one they say most often. As parents know, the constant negativity and refusals can get a little tiresome. Strange as it may sound, one way to prevent "the endless no's" is to try and take "no" seriously when your child says it. After all, we all have a tendency to repeat ourselves when we don't think people are listening, right?


Real-life application: Your toddler's running around in a dirty diaper, but she refuses to stop and let you change it. "Start by asking if she wants her diaper changed, and if she says no, say okay and let it go for a while," says Kvols. Wait five minutes and ask again, and if you get another no, wait again.
Usually by the third time you ask, discomfort will have set in and you'll get a yes. And knowing that saying no carries some weight will stop your child from saying it automatically. "The more you respect their no, the less often they use it," Kvols says.

The tools: Preschoolers and up

Tool: Use time-outs and time-ins

Age: 2 to 4 years

How it works: The time-out is one of the best-known discipline tactics, but it's also somewhat controversial. Some experts think time-outs don't work well, are overused, and feel too punitive — especially for young preschoolers. "When we say 'Go to your room,' we're teaching them we're in control, when we really want them to learn to control themselves," says expert Kathryn Kvols.


In fact, for some kids time-outs can be so upsetting that they trigger tantrums, something you want to prevent. To avoid this, treat time-outs as a brief cooling-off period for both of you. (One minute or less is probably long enough for a 2-year-old. Don't start using the one-minute-per-year guideline until your child's at least 3.)


Let your little one know that you need the time as much as he does by saying, "We're both really mad right now and we need to calm down." Designate an area of your house as a self-calming place for your child (preferably this won't be in your child's room, which should have only positive associations), and direct him to go there for a few minutes while you go to your own corner.
Another possibility: Take time-outs together by sitting down side by side. You can also balance the impact of time-outs by instituting "time-ins" — moments of big hugs, cuddles, and praise to celebrate occasions when your child behaves well.


Real-life application: You said no dessert tonight, triggering a tantrum, and now your child's screams for a cookie are only slightly louder than yours. Explain that it's not okay for either of you to scream at the other, so you both need to calm down. Lead her to her self-calming space (Kvols says the only thing that worked for her daughter was to go outside into the garden), and then sit down nearby yourself.


When a few minutes have passed and the anger has subsided, explain that it's not okay to throw a fit to get what she wants and that you're sorry she's disappointed. (Hint: On a future night when a treat is okay, give her one and praise the fact that she's stopped fussing to get dessert.)


Tool: Try reverse rewards

Age: 3 to 8 years

How it works: Take a page from teachers everywhere — kids respond much better to positive reinforcement than to reproach and punishment. And they also like structure and clear expectations. Ruth Peters, the clinical psychologist in Clearwater, Florida, advises parents to take advantage of these qualities by setting up a system of rewards. You can make this system even more effective by reversing the usual rules — instead of giving rewards for good behavior, take them away for bad behavior.

Real-life application: Put a few things your child loves — these could be a Hershey's kiss, a new colored pencil, and a card good for an extra bedtime story — in a jar or box as the day's rewards. Then draw three smiley faces on a piece of paper and tape it to the jar. If your child breaks a rule or otherwise misbehaves, you cross out a smiley face and one treat disappears from the jar. An hour or so before bedtime, you give your child everything that remains.

The tools: Grade-schoolers

Tool: Teach consequences

Age: 5 to 8 years

How it works: We want our children to make the right choices — finish their homework before they turn on the TV, for example, or not play ball in the house. But when they don't, what do we do?
To handle problem behaviors, involve your child in finding a solution, says Harvard professor Dan Kindlon. For example, if he doesn't finish the night's homework, he may decide to wake up earlier the next morning to do it. Because this isn't a great long-term solution, make a plan for the future together: Does he want to do his homework before going out to play, or does he want to set aside time in the evening?


If he's been part of the planning process, it'll be a lot harder for your child to pretend he just "forgot." But be consistent in enforcing limits — if the plan is to finish homework after dinner, it must be finished before the TV goes on.


Real-life application: Your 7-year-old breaks a lamp throwing a ball in the house. Instead of scolding him by saying that he wasn't supposed to be doing this in the first place, tell him it's up to him to fix his mistake. Have him glue the lamp back together if he can — if not, he can do extra chores to earn enough for a new lamp.


Tool: Allow redo's

Age: 5 to 8 years

How it works: How many times have you wanted to take back something you said the moment you said it? Well, when your child sasses or snaps at you, and you snap right back, chances are everyone feels that way.


One way to maintain peace in the family is to allow "redo's" — a chance for your child (or you!) to say what she wants again in a more respectful way. "When you tell your child 'redo,' you're saying, 'I want to hear what you've said, it's important to me, but I want to be respected. So say it in a more respectful tone and I'm happy to listen,'" says Kathryn Kvols.
She and her daughter, Briana, even have a secret signal they use to tell each other to redo without having to say anything out loud. Asking for redo's when your child talks back keeps the situation from escalating. It also teaches her that speaking to people calmly is a better way to get the response she wants.

Real-life application: Your child screams "I hate you!" Stung and hurt, you immediately yell back, "Go to your room!" and the evening's lost. Instead, take a deep breath and ask your child if she wants a "redo" (or use your signal if you're in public). This gives your child a chance to articulate her feelings in a calm way rather than just exploding.


"You want your child to know that you're not trying to shut her up, and that you're capable of hearing the good and the bad," says Kvols. "Then you can address the issue that's actually at stake" — the underlying problem that prompted a regrettable comment in the first place.

THANKS > > http://www.babycenter.com/0_the-discipline-tool-kit-successful-strategies-for-every-age_1475318.bc

When I hear somebody sigh, "Life is hard,"

I am always tempted to ask,

"Compared to what?"

MommyLove-01

Monday, November 9, 2009

Seafood Cocktails Wah Ha Ha

IMG_1310-s

กลับเข้าครัวกันนิดนึงนะคะ แม่บ้านหลังยาวไม่ค่อยได้ทำกับข้าวเลี้ยงลูกผัวบ่อยๆ หรอกค่ะ แต่เมนูนี้อีก๊อตของอิชั้นเค้าได้ตำรับมาจากเพื่อนร่วมงานชาวเม๊กซิกัน เพราะคุณเมียชอบรับทาน กุ้งคอคเทลส์ ซีฟู้ดคอคเทลส์ ทุกครั้งเวลาไปทานอาหารเม๊กซิกัน เลยอยากให้อิชั้นลองทำทานเองดู ซึ่งมันก็ง่ายแสนง่าย ไม่ต้องต้มหุง หั่นๆ สับๆ โยนใส่หม้อ คนๆ เสร็จแระ ทานได้เลย

สูตรที่ไอ้พวกผู้ชายจดให้กันมาเป็นอะไรที่น่าขำมากๆ ทุกเครื่องปรุง บอกยี่ห้อ และสถานที่ซื้อหาพร้อมราคาด้วยค่ะ การชั่งตวงวัดก็มีหน่วยเป็น กระป๋อง ขวด ลูก ฯลฯ เครื่องปรุงมีดังนี้ค่ะ

เครื่องดื่มคอคเทลน้ำมะเขือเทศยี่ห้อตามรูปเลยค่ะ จำนวน 2 ขวด

กุ้งฝอยต้มสุกที่เค้าใส่สลัดต่างๆ 2 แพ๊ค

ปูอัด 1 แพ๊ค

หอยสับ 2 กระป๋อง

หอยนางรม 1 กระป๋อง (อย่าเทน้ำทิ้ง เท juice ใส่ลงไปด้วย)

อะโวคาโด้ (ห่ามๆ ไม่สุกนิ่ม หั่นเต๋า) 4 ผล

แตงกวา 2 ลูก (อิชั้นปอกผ่าสี่แล้วเอาเม็ดออก จากนั้นหั่นเต๋าค่ะ)

มะเขือเทศ 1 ปอนด์ (อิชั้นเอาเม็ดออกและหั่นเต๋าเช่นกันค่ะ)

ผักชี 1 กำ (ล้างสะอาด หั่น)

หอมใหญ่ 1 หัวใหญ่ (หั่นเต๋าจิ๋วๆ)

page-289

หลังจาก ล้าง หั่น สับ ซอย เครื่องปรุงต่างๆ เสร็จแล้ว ก็แทบจะเรียกว่าเสร็จแล้วหล่ะค่ะ แต่อิชั้นรู้สึกไม่ค่อย “ชัวร์” กับการเทโน่นนี่จากกระป๋องแล้วรับทานเลย ก็เลยขอลวกๆ ต้มๆ มันซะทุกอย่าง (ยกเว้นพืชผัก) ทั้งๆ ที่เจ้าของ recipe ย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ต้องหุงต้มใดๆ

page-290

จากนั้นก็เทไอ้ 2 ขวดใส่ภาชนะ เทอะไร ต่ออะไร ประดามี ลงไปให้หมด คนๆ ซะหน่อย แช่ตู้เย็นเก็บไว้รับทานค่ะ ถ้าหากมีหมึกยักษ์หั่นใส่ลงไปด้วยก็คงจะโอเคนะเนี่ย 555 พอทำเสร็จแล้วมันช่างมากมายก่ายกอง ทำยังไงจะกินได้หมด เลยตักไปแจกๆ ชาวอินลอว์ซะเยอะเชียวค่ะ สูตรนี้อร่อยใช้ได้ทีเดียว พืชผักกรุบกรอบ รสชาติกลมกล่อมไม่ต้องเติมเครื่องปรุงใดๆ แต่ที่มันเยอะเหลือเกิน ฟาดซะจนหายอยากไปเป็นปีเลยค่ะ ถือว่าประสพความสำเร็จมากในการทำซีฟู้ดคอคเทลส์ครั้งแรกในชีวิตค่ะ

IMG_1313-s

To be awake is to be alive.

OohAraiwa-13

Saturday, November 7, 2009

Rommy…Good 2 B Known.!.!..

ลูกสาวไปแค้มป์มา 5 วัน ก่อนหน้านั้นอิแม่มันก็วุ่นวายเตรียมแพ๊คข้าวของไปให้พอใช้และพอดีๆ ไม่โอเว่อร์แพ๊ค เพราะรู้จักลูกดี ว่า มันไม่มีวินัย มันไม่รักษาของ ขนเอาที่เน่าๆ ไปซะเป็นส่วนใหญ่ หายไปจะได้ไม่เกิดโมโหถึงต้องฆ่าลูก กระเป๋าที่ให้ลากไปก็แพ๊คไว้อย่างดี ยัดข้าวของไว้ครบไม่มีใบลูก ใบหลานงอกออกมา แม้แต่ถุงนอนก็ยัดใส่ไปในนั้นด้วย เห็นบางบ้านแพ๊คของให้ลูกก็สงสารเด็กๆ ส่วนใหญ่เอาถุงนอนใส่ถุงก๊อบแก๊บบ้าง ถุงขยะบ้าง แล้วอีกหลายๆ บ้านอนาถกว่านั้น แพ๊คของให้ลูกใส่คอนเทนเน่อร์พลาสติกซึ่งมีรอยแตกแล้วแปะๆ ปะๆ ไว้ด้วยดั๊กท์เทป พอเค้าเรียงข้าวของเด็กใส่รถเทรลเล่อร์ก็เป็นห่วงว่าภูเขาสมบัติบองคนอื่นจะไปทับไอ้กล่องปั๊ดติกพวกนั้นให้แตกหักเสียหายก่อนที่จะถึงแค้มป์ พ่อแม่-หนอ-พ่อแม่ ทำไปได้….

page-476

ตอนลูกอยู่ที่แค้มป์ เด็กๆ ก็จะนอนบั๊งค์เบด แต่เค้าให้เอาหมอนกับถุงนอนไปทุกคน เพื่อไปปูทับฟูกนอนได้เลย (เค้าไม่มีผ้าปู หมอน ผ้าห่มให้) แยกเคบินเด็กชาย-หญิง โดยแต่ละเคบินจะเป็นที่พักที่นอน ห้องน้ำสำหรับเด็ก 8 คน + 1 Chaperone (พี่เลี้ยง) ห้ามทางบ้านโทรหา ห้ามไปเยี่ยม ห้ามโทรกลับบ้าน (เหมือนคุกเลย 555) ได้ยินว่าหลายๆ คนโฮมซิก ครอบครัวเราส่งการ์ดไปให้ลูก 2 ครั้ง เห็นเล่าว่าตอนเจ้าหน้าที่เอาการ์ดไปให้ (ระหว่างดินเน่อร์) อิหนูของแม่เกือบร้องไห้คิดถึงบ้าน แล้วเกิดมีเด็กคนนึงป่วยเป็นไข้ เค้าต้องโทรให้พ่อแม่ไปรับออกจากแค้มป์ เพราะเกรงว่าจะพาลทำให้คนอื่นป่วยไปด้วย ส่วนเด็กๆ ที่ไม่ได้ไปแค้มป์ก็ต้องไปโรงเรียนตามปกติ (ไอ้คนละ 200 เหรียญเนี่ย มันก็หลายตังค์อยู่นะสำหรับบางครอบครัว ครอบครัวเรายังต้องซื้อข้าวของเตรียมให้ลูกอีกหลายตังค์)

ลูกอิชั้นมัน “กระบือถึก” อึดมาก เวลาทำอะไรก็ดูเหมือนตั้งใจทำสุดหัวใจ พยายามทำให้ดี จนได้รับคำชม ได้รับรางวัล ตอนที่ไปรับลูกครูบาอาจารย์ พี่เลี้ยง ฯลฯ วิ่งแจ้นมาบอกว่าลูกอิชั้น ยอดเก่ง ยอดคน ยอดหญิง ยอดเด็ก ยอดมารยาทงาม ยอดมีน้ำใจ สารพัดจะสุดยอด ก็ได้แต่ยิ้มขอบคุณเค้าไปให้เสร็จๆ บางคนถึงกับชมว่าอิชั้นเลี้ยงลูกเก่งจัง แหงะ.. จริงๆ อยากอ้วกแตก เพราะรอมมี่มันนิสัยยอดแย่มากๆ เวลาอยู่ที่บ้าน ไอ้คำชมแบบนี้ได้ยินมาตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ เริ่มไปโรงเรียน จนถึงปัจจุบัน

ด้วยที่ลูกเป็นเด็กใหม่สำหรับโรงเรียนนี้ ตั้งแต่เราเสียบ้านไป ก็เริ่มจากเอาลูกออกมาจากโรงเรียนแคธอลิค แล้วก็ย้ายไปรอบๆ เมืองอีก 2 โรงเรียน จนมาถึงโรงเรียนนี้ ซึ่งเป็นพับลิคสคูลที่ดีที่สุดในเมือง (อิพ่อมันอยากเช่าบ้านนี้ก็เพราะอยู่ในเขตที่ลูกจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนนี้แหละ) ทุกๆ โรงเรียนที่ลูกเรียน รอมมี่ก็จะกลายเป็นซูเป้อร์สตาร์ เรียนเก่ง กิจกรรมเก่ง ฯลฯ ครูๆ ชมเปราะ บ่นเสียดายที่ต้องให้ลูกลาออก แม้แต่โรงเรียนแคธอลิค ครูใหญ่ถึงกับดิ้นรนทำเรื่องขอสกอล่าชิพจากโบสถ์ให้รอมมี่ได้เรียนฟรี อิพ่อมันไม่อยากเอาลูกออกจากโรงเรียนแม่ชีเลย จริงๆ เราก็พอถูไถส่งลูกให้เรียนที่นั่นได้ แต่อิชั้นไม่เอาแหล่ว ภาระและกิจกรรมของพ่อแม่เยอะเหลือเกิน-นอกเหนือไปจากค่าเล่าเรียนที่แพงถ้าหากลูกยังเรียนที่นั่น เด็กๆ ก็หัวสูงและ mean รวมถึงอิลูกของอิชั้นเอง อยู่ไปอยู่มานิสัยยอดแย่มากๆ ส่วนโรงเรียนล่าสูดก่อนหน้านี้ รอมมี่กลายเป็นขวัญใจของ principle สุดหล่อ เข้าไปเรียนได้ไม่เท่าไหร่ ครูใหญ่วิ่งแจ้นมาหา อิชั้นก็ตกใจ ลูกกรูไปก่อการร้ายอะไรหรือป่าววะ สุดหล่อมาชมยกใหญ่เลี้ยงลูกยังไงวะ…เก่งจัง She’s the best ever แล้วยังบอกว่า If I have only 40 students like her in my school…I’m in heaven! พอตอนไปทำเรื่องลาออกให้ลูก สุดหล่อก็มาห้ามปราม อยากให้รอมมี่อยู่ที่นี่ จะทำเรื่องทรานสเฟอร์ข้ามเขตให้เองเลย โอ้ย…. เยอะ เรื่องที่คนนอกชมลูกคนนี้ของอิชั้น เอาแค่ในแวดวงอินลอว์ มันก็เป็นสุดที่รักของอาๆ ป้าๆ ลุงๆ อิแม่ก็อยากแค่ให้มันเป็นคนแสนดีแค่เสี้ยวนึงกับที่มันดีนอกบ้านตามที่ (คนไม่รู้จริง) เลื่องลือ ฮื่อ….

page-477

ระหว่างที่อยู่แค้มป์ มีครูคนนึงซึ่งเป็นหัวหน้าทีมครั้งนี้ เกิดหลงรักอิรอมเข้าอย่างจัง พูดโน่นพูดนี่ว่ามันนี่เป็นเด็กแสนจะวิเศษ สุดพิเศษ แล้วก็พูดออกมาว่านี่เป็นเพราะเค้าได้สอนมันตอนเล็กๆ แน่เลย มันก็บอก โน่ มันไม่เคยเรียนกะเค้า 5555 มันมาจากโรงเรียนอื่น 5555 โธ่คุณครู…เจอฤทธิ์อีรอมเข้าไปหน่อยนึง พี่โย่งสุดหล่อเจ้าของหมายักษ์ถึงกับมา (ฟ้อง) บอกเล่าให้อิชั้นฟัง นอกเหนือไปจาก ชมๆๆๆๆ จนอิแม่มันเอียนจนเกือบอ้วกแตก ฟังมากๆ แล้วมันมีโมโหนะ เพราะแม่ย่อมรู้จัก ตัว ตน ที่แท้จริงของลูกเสมอ…. 5555

รูปภาพทั้งหลายได้มาเท่าที่เห็นนี่แหละ ให้ลูกเอากล้องไป (ทำใจไว้ด้วยนะว่าว่าจะไม่ฆ่ามันถ้ากล้องหายหรือพัง 5555) เห็นบอกว่าแค่วันที่สองแบตเตอรี่ก็สิ้นใจซะแล้ว มันทำอะไรของมันก็ไม่รู้ เฮ้อ…. ได้รูปมา 22 รูป ดีมั่งเสียมั่ง + กะ 1 คลิปวิดีโอ เชิญชมกันค่ะ

ตอนขับรถอยู่ๆ ลูกก็พูดว่า….จากที่เป็นเด็กใหม่ ใครๆ ก็ไม่สนใจ บางคนก็ไม่ชอบ …ตอนนี้รู้สึกดี๊ดี ใครๆ ก็ชอบ ใครๆ ก็รัก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อนๆ ที่ไม่อยากพูดด้วยเล่นด้วย ก็วิ่งเข้าหา เจอหน้าทักทาย แล้วอิรอมก็พูดขึ้นว่า Mommy…. It’s GOOD TO BE KNOWN! Everybody recognized who I am….ลูกกรูจะเหลิงมั๊ยวะ อะไรก็ช่างเหอะ อยากให้ลูกเรียนดี เป็นคนดี อย่างที่เค้าพูดกัน รวมทั้งที่บ้านด้วย เลิก “ตื้บ” น้องอย่างไม่มีเหตุผลซะที เลิก smart mounth กับพ่อแม่ เวลาบอกให้ช่วยเหลือ หยิบจับ อะไร แค่ครั้ง สองครั้งก็พอแล้ว ไม่ต้องรอให้ถึง 15 ครั้ง จากแม่บอกดีๆ จนสุดท้ายแม่ต้องแหกปากตะโกนเหมือนเป็นบ้า เฮ้อ……

Live every act fully, as if it were your last.

Rommy-01

Sunday, November 1, 2009

Happy Halloween 2009

รูปจากฮัลโลวีนเมื่อวานนี้ ปีนี้กร่อยๆ นะ ตาม church และโรงเรียนต่างๆ ที่เคยจัดงานให้เด็กๆ ไปเล่นเกมส์ และก็ Trick or Treat กันมาตลอดทุกปี อยู่ๆ ก็ไม่มีงานที่ไหนๆ เลย เราขับรถตะเวนทั่วเมืองอย่างงงๆ what’s going on…. ไม่มีที่ไหนดูครึกครื้นโครมครามเช่นเคย เลยไปที่บ้านแม่ปั๋ว..(เพราะพาลูกไป “ทริก-ออร์-ทรีต” ที่นั่นเป็นบ้านแรกทุกปี ซึ่งพวกอาๆ เค้าเตรียมของพิเศษไว้ให้เจ้าสองตัวนี้เสมอ) นั่งเซ็งๆ เงือกหงอยกันอยู่พักนึง ชักสงสารลูกนั่งดูทีวีกัน ไหนๆ แต่งตัวมาแล้ว เลยพาลูกๆ ไปTrick or Treat แถวละแวกบ้านอินลอว์ ส่วนอีก๊อตซึ่งนั่งตูดบานดูฟุตบอลก็คอยกำชับห้ามไปบ้านโน้น บ้านนี้ และบ้านนั้น นู้น โน้น ฯลฯ เพราะเป็นบ้านไอ้เม๊ก….กลัวเค้าให้ขนมพิษ 55555 คิดไปนู่น…ผัวกรู (เมื่อหลายปีก่อนมีข่าวว่าพวกไอ้เม๊กมันเอาขนมมีสารปรอทแจกเด็กๆ ตั้งแต่รอมมี่เล็กๆ ได้ขนมมาเป็นถุงใหญ่ๆ พ่อมันเอาเทลงถังขยะหมดทุกทีเลย จะให้กินแต่ขนมที่ตัวเองซื้อให้…เอากะมันดิ)

Q8493078-0

อันนี้เป็นรูปที่อิแม่มันขับรถไปส่งอีรอมไปงานเบิ๊ดเดเพื่อนมันที่ skating ring เห็นอะไรพอถ่ายรูปได้ก็ขับไป-ถ่ายไป ชัดบ้างไม่ชัดบ้างดูกันเอาเอง ไอ้แฟร๊งค์ใส่ส้นตึกนี่อยู่ไม่ห่างจากบ้านเท่าไหร่ กะลังขับรถกลับบ้านเลย “แช๊ะ” ซะหน่อย ส่วนไอ้ป้ายบอกไม่มีขนมแจกนี่…บ้านติดกันกับบ้านเราเลยนะ 5555

page-468

อันนี้เป็นอีหนูดี มันมีต้องแต่งคอสตูมหลายรอบมาก วันศุกร์มีฮัลโลวีนปาร์ตี้ที่โรงเรียน ก็แต่งไปเหมือนในรูป ชุดอะไรของมันไม่รู้ เลือกเอง แต่งเอง พอบ่ายวันเสารก็มี Halloween Birthday Party ของเพื่อนมัน…จัดที่ลานสเก๊ต อิแม่มันก็รีบซักชุดให้ตั้งแต่คืนวันศุกร์ (โปรดสังเกต…สกินนี่ยีนส์ดำปี๋นั่นของแม่มันนะ อิลูกขาหย่าย…ขาโจ๋มากๆ) พอไปรับมันมาจากงานเบิ๊ดเด…โอยย… มันซกมกมากๆ สเปรย์สีแดงที่ฉีดใส่ผม.ได้เยิ้มไหลลงมาเต็มหน้าผากมัน ผีมากๆ 555 ก็ไล่ให้ไปอาบน้ำสระผม แล้วมันก็ใส่ชัดคอสตูมใหม่เตรียมออกไป “Trick ‘r’ Treat” กับน้อง พ่อมันขำก๊าก…ชุดไรของมันวะ เสื้อยืดเขียว+เกงขาสั้น แต่ใส่ cape ดำนั่นด้วย 5555 ดูกันเอาเอง 555 (เด็กคนอื่นๆ ในรูปนั่น จากงานที่โรงเรียนบ้าง แล้วก็งานวันเกิดบ้างค่ะ)

page-469

คราวนี้มาดูไอ้ตี้ ไม่ยอมใส่คอสตูมใดๆ ทั้งสิ้น ชุดนี้ให้ลองใส่ ลองถอด มา 2 วีคได้ ใส่ให้ทีไร มันร้อง มันชัก กระชาก ไม่ยอมใส่ท่าเดียว พอวันจริงเลยมีการตีกัน มันก็ชักไป ร้องไป สู้ไป กระชากชุดออก จนคอเสื้อบานเลย 5555 แต่พอได้ขนมใส่กะแป๋งมัน ชอบเชียว มองตัวเองในกระจกแล้วก็บอก…เบบี้คิ้วท์ ตาหลอด 5555 จากนั้นพ่อมันก็พาไอ้ตัวใหญ่ไปเข้า Haunted House ตามประเพณีที่ครอบครัวเราทำกันทุกปี ปีนี้อิแม่มันขอบาย ขอเป็นคนเฝ้าไอ้ตี้ข้างนอก (ปกติไอ้พ่อมันเฝ้าลูก ตอนอิรอมเล็กๆ ก็ขับไสไล่กวดให้กรูเข้าไปอยู่ตลอด กลัวเว้ยยย…แล้วก็ไม่เจือกเข้าไปเอง) ไอ้บ้านผีที่เมืองนี้เป็นงานของเด็กไฮสคูลหาตังค์ ส่วนมากมันจะไปจัดตามโกดังคาร์โก้ที่ว่างๆ ข้างนอกบู้ธขายตั๋วเก็บตังค์ รีเซฟชั่น สต๊าฟทั้งหลายก็แต่งหน้าแต่งตัวกันน่ากลัว เน่าหนอนมากๆ แล้วข้างในก็ทำซะมืดตึ๊ดตื๋อ สารพัดจะทำให้คนเข้าไปแทบช๊อคตาย ยืนรออยู่ข้างนอกได้ยินเสียงคนกรี๊ดดดด….. ตลอดเวลา เลยถ่ายรูปไอ้ตี้มาให้ดู ขี้แอ๊คซะ ลูกกรู ตอนนี้กำลังชอบให้แม่ถ่ายรูปตอนกระโดด ไม่ได้สอนนะเฟ้ย มันทำของมันเอง

page-470

อันนี้เป็นรูปอีรอมกะหมาของครูมัน ตัวจิ๊ดนึงเน๊าะ ถ้าเป็นหมาของทดจะตั้งชื่อให้มันว่า Tiny 5555 ส่วนอีก๊อตนั่น เมียใส่หน้ากากให้ก็ทนได้ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์เฉยเลย 5555 อิบ้า ส่วนฮัลโลวีนคอสตูมสำหรับอิแม่มัน….อีก๊อตบอกว่า ไม่จำเป็นเพราะหน้าตาเปล่าๆ ก็น่ากลัวมากแล้ว…แป่วแหว่ว… ตอนนี้ยังวุ่นๆ เรื่องแพ๊คของให้รอมมี่ไปแค้มป์ โอ้ยเบื่อ เรื่องเยอะ ไป 5 วัน ลิสต์ที่ต้องขนไปเหมือนไปเป็นเดือน แล้วก็ไปแค้มป์บนเขา มีเลค… แต่คาดว่าน่าจะโชคดีฝนไม่ตก หรือหิมะลงตอนที่เด็กๆ อยู่ที่แค้มป์ เช็คดูอากาศประมาณ 65/35 (กลางวัน/กลางคืน) ตลอดวีค ซึ่งไม่หนาวมาก อากาศกำลังดีทีเดียว บางโรงเรียนเลือกพาเด็กๆ ไปหน้าร้อน เป็นทดขอเลือกหน้าหนาว 5555 เกลียดอากาศร้อนที่นี่มาก

page-471

Happy Halloween Everyone..!!

daylight_savings_time1

Daylight Savings 2009 Ends last night in the United States !!!

fallback_3206c

Daylight savings time has ended in the United States last night at 2am November 1st (Sunday.)

โอ้ย…. เบื่อมากกับการหมุนนาฬิกากลับไปกลับมาปีละ 2 ครั้ง (ถ้าทุกเดือนจะบ่นมั๊ยวะ 5555) เมื่อวานหมุนถอยหลัง (fall back) เพราะเป็นคนบ้านาฬิกา เลยมีนาฬิการอบบ้าน มีทุกส้วมเลยด้วย 5555 ไปบ้านไหนไม่มีนาฬิกา….อยากบ้า 555 แต่โชคดีที่บางเรือนเป็น atomic clock คือ มันตั้งปรับเปลี่ยนเวลาเอง ย้งสัญญานมาจากนอกโลกนู่นนน…. โน๊โหน่ จาก สเตชั่นในโคโลราโดโน่น ไปอ่านดูข่างล่างซะนะ

หมุนนาฬิกาถอยหลังเหมือนได้นอนขี้เกียจเพิ่มอีก 1 ชั่วโมง แต่พอ 5 โมงกว่าๆ ก็ค่ำแระ

How do radio-controlled clocks set themselves to the atomic clock in Colorado?

Many gadget catalogs and high-tech stores sell "radio-controlled" clocks and wrist watches that are able to receive these radio signals. These clocks and watches truly are synchronizing themselves with the atomic clock in Colorado. This feature is made possible by a radio system set up and operated by NIST -- the National Institute of Standards and Technology, located in Boulder, Colorado. NIST operates radio station WWVB, which is the station that transmits the time codes.

WWVB is a very interesting radio station. It has high transmitter power (50,000 watts), a very efficient antenna and an extremely low frequency (60,000 Hz). For comparison, a typical AM radio station broadcasts at a frequency of 1,000,000 Hz. The combination of high power and low frequency gives the radio waves from WWVB a lot of bounce, and this single station can therefore cover all of the continental United States plus much of Canada and Central America as well (scroll about three-quarters of the way down the page for a nice coverage map).

Thanks > > http://electronics.howstuffworks.com/gadgets/clocks-watches/question461.htm

What would life be if we had no courage to attempt anything?

OLL-08