Wednesday, April 29, 2009

หมอ หมอ ยา ยา เป็นเรื่องน่าเบื่อ

หายหัวไปหลายวัน ไปขับแท๊กซี่มา 5555 ปล่าวหรอก เพียงแค่รู้สึกว่ามีแต่ไปๆๆๆๆ วนไปวนมา หาหมอซื้ยาอยู่นั่น เหนื่อยๆๆๆๆ แล้วหมอยาบางคนก็น่าเบื่อ บางคนก็น่ารัก 5555 เหมือนเป็นฤดูกาลหาหมอยังไงไม่รู้ หาอยู่นั่น นี่ก็เพิ่งไปหา Dermatologist มาเมื่อวันจันทร์ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เพราะเป็นโรคเดิมที่ต้องเป็นไปจนตาย คือโรคขี้เรื้อน-Psoriasis เพียงแค่ต้องการ Prescription เท่านั้นเอง ส่วนอีรอมเค้าก็เป็นเหมือนแม่แถมด้วยเป็นสิว 5555 วัยแตกสาว วัยโดนแม่ด่า 5555 หมอก็จ่ายยาสิวให้มัน นี่ยังมีคิวต้องไปหาหมอโม๊ะประจำตำแหน่ง Obstetrics & Gynecology อีกกลางเดือนหน้า แล้วคงทำนัดให้เอานมไปเข้าเครื่อง Mammography บีบให้แบนเหมือนปลาหมึกย่าง จากนั้นอีกวีคนึงก็ไป monthly follow up เบาหวานกับโลหิตจาง สามีอิชั้นตอนนี้ก็ทำงานอาบเหงื่อแลกเงินไปส่งเสียคุณหมอๆ มัน น่าสงสารอีก๊อตจริงๆ บิลตั้งแต่มกราก็ทะยอยมาเรื่อยๆ แล้ว ตอนต้นมกราคม ไอ้ตี้ไข้สูง ไปหาหมอ บิลมาครบแล้วเมื่อวาน

Charges

Insurance Paid

พ่อมันต้องจ่าย

ฆ่าบริการห้องฉุกเฉิน (หมอ)

429.30

160.61

268.69

ฆ่าโรงพยาบาล+ห่าไรก็ไม่รู้

1711.11

1408.02

303.09

ค่าเอ็กซเรย์ปอด

35.00

30.93

4.07

Total

รวมแล้ว “โทโท่”

> > > > > > > > >

$575.85

รายละเอียดข้างบนคือ 1 วิสิตไข้ของไอ้ตี้เท่านั้นนะคะ ไม่รวมค่ายาที่ต้องไปไล่ล่าหาซื้อและจับจ่ายไป เซ็งดีค่ะ

จากที่ไปหาหมอกันมาอย่างบ้าคลั่งเมื่อ 2-3 วีคที่ผ่านมา ก็ไปไล่ล่าซื้อยาตามใบสั่งได้มาเกือบครบแล้ว ทำไม๊ ทำไม มันช่างยุ่งยากวุ่นวายและแพงซะเหลือเกิน ไม่เริ่ดครบวงจรอย่างโรงพยาบาลเมืองไทยเน๊าะ ตรวจเสร็จจ่ายตังค์รับยา ไสหัวกลับบ้านไป ถ้าให้บ่นเรื่องนี้อิชั้นก็จะบ่นได้ยาวยืด คือเรื่องระบบ Health care in the United States of America ประเทศมะหาอำนาด คุยนักว่าใหญ่ยักษ์ เริ่ดซะ จริงๆ มันเป็น ธุรกิจ Profit from the PAIN!!! แถมมิใช่ World’s Best Medical Care อย่างที่ไอ้กันชอบ “โว” จาก 191 ประเทศ ไอ้กันติดอันดับที่ 37 ค่าคุณๆ ประเทศไทยของเราติดอันดับที่ 47 น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งนะคะ หม่อง-มะยันม่าเพื่อนบ้านของเราติดอันดับ 190 ลาวติดอันดับ 165 ฮ่วย 555

Thanks > > http://www.photius.com/rankings/healthranks.html

Thanks > > http://www.photius.com/rankings/who_world_health_ranks.html

บอกแล้วถ้าให้พูดเรื่องนี้อิชั้นบ่นได้ยาววววว…. ไม่เอาดีฝ่านิ มาดูว่ายาที่ได้มาเป็นอะไรบ้าง

MedicinesPage-01

อย่าให้พล่ามว่าไปกัดกะอีเพสัตว์ที่ Longs Drugs มาเชียว เถียงกะมันจนมึน จนต้องไปใช้คูปองลดราคาจาก STIEFEL ที่ Target Pharmacy ถึงจะได้ไอ้โฟม OLUX-E นั่นมา ซึ่งจ่ายไปแค่ $25 + tax จากที่ต้องจ่าย (ตามปกติ) $67.50 + tax (ราคาเต็ม $336.99 ค่ะคุณ) พูดแล้วองค์ลง โมโหย่ะโมโห อีเพสัตว์ที่ Longs Drugs เถียงอยู่นั่นว่าคูปองใช้ได้เฉพาะคนไม่มีประกัน อิชั้นก็เถียงกลับไปว่าวันนี้กูไม่เคลมประกัน กูพรีเฟอร์เป็น cash patient อีฟายนั่นก็เถียงข้างๆ คูๆ ถูลู่ถูกัง จนอิชั้นงงตดตามมันไป เลยขับรถแล่นไปทาร์เก็ต เอาใบสั่ง+คูปองให้เค้าไปรอปึ๊ดนึงก็จบเสร็จได้ยามาในราคาที่ต้องการ ยังมีอีกที่ไม่ได้ถ่ายรูปและยังไม่ได้ไปรับเพราะยาไม่มีในร้านตอนที่ไปซื้อ หลอดบนขวาเป็นออยเม้นต์ทามือที่คันๆๆๆๆ ไอ้ Differin นั่นเป็นของอีมี่เค้า หมอจ่ายมาให้มันทาสิวสาวแตก-แตกสาวของมัน ไอ้ขวดจรวดนั่นที่พ่นตะหมูกแก้ภูมิแพ้ของอิชั้น เพราะแด๊กยาอย่างเดียวบางวันก็เอาอยู่ บางวันก็เอาไม่อยู่ ไอ้ขวดแดงนั่นยาเบาหวาน ยังมีธาตุเหล็ก OLUX โฟมแบบธรรมดา + อีก 2-3 อย่าง จากนี้ต่อไปจะซื้อยากันทีคงต้องขับรถลงใต้ไป 30 กว่าไมล์เพื่อไปซื้อยาที่ Target Pharmacy เภสัชกับ จนท. ที่นั่นเยี่ยมๆๆๆ ชื่นชมจริงๆ ไอ้ที่หาได้ใกล้บ้านก็โกรธกันไปที่ละร้าน หมดแระ ไม่มีใครคบ ไม่คบใครแล้ว 555 มันคงเรียกลับหลังว่า อีเอเชี่ยเรื่องมาก 555

มาดูรูปหลับจริงกับหลับปลอม ลูกๆ น่ะหลับจริง นอนดูทีวีกันเงียบๆ ย่องไปดูอีกที นอนหลับเน่ากันหมด 555 ส่วนไอ้ก๊อตใหญ่กะไอ้ก๊อตเล็กนั่น พ่อมันนะตอ..มากๆ นอนกอดกะลูกก็บอกถ่ายรูปให้หน่อย พอไปเอากล้องมาก็ทำเป็นแกล้งหลับ รูปแรกไอ้ตี้เล่นด้วยนิ พออีกรูปลูกลืมตาโตเชียว มีแต่อีบ้าพ่อมันทำแกล้งหลับ เชอะ เหอะ ไอ้บ้า

page-385

ส่วนอันนี้ไอ้ตี้ก่อเหตุ 555 อยู่กะมันสองคน ถ้ามันเงียบๆ ไปก็ต้องรีบย่องไปดูว่ามันทำอะไรมิดีมิร้ายหรือปล่าว เพราะปกติมันจะขี้อ้อนกับแม่มากๆ จนน่ารำคาญสุด แต่พอมันเงียบๆ ก็น่าห่วง 5555 เตรียมผ้าขี้ริ้วเตรียมม๊อบได้เลย ถ้ามันไม่เท ปั๊ม ทำอะไรหก ก็ถือว่าโชคดีมากๆ แต่วันนั้นมันเงียบมากๆ ได้ยินเสียง บี๊บๆๆๆ จากตู้เย็น แสดงว่ามันอยู่ในครัว ตั้งไอ้อะลาร์มไว้ถ้าฝาตู้เย็นไม่ปิดภายใน 90 วินาที อะลาร์มก็จะบี๊บๆๆๆๆๆๆ สิ่งแรกที่เห็นคือมันก้มๆ เงยๆ กินเค้ก แต่เปิดตู้เย็นไว้ พอมันเห็นแม่ก็ไม่สะทกสะท้านกินต่อเฉย พอถามทำไรก็ eat eat eat พูดได้แค่นั้น 555 เลยคว้ากล้องไปจัดการซะ พอกินจนพอใจแล้วก็เอาไปเก็บเอง แต่ปากกับจมูกที่เลอะนั่น แม่ต้องรีบจัดการก่อนที่มันจะเช็ดตามโซฟา แล้วมือไม้ก็จะเปะปะป้ายไปหมด เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่

page-384

ส่วนอันนี้เป็นอาหารของอีแม่ขี้เกียจกับไอ้ลูกกินยาก บางวันมันก็กินดี บางวันก็อิดออดเหมือนกัน ส่วนไอ้กระป๋องข้างล่างน่ะเป็นของโปรดของพ่อกับลูก อีแม่จับปุ๊บเป็นโดนลูกผัวด่า อีเบาหวานไม่เจียม 5555 เห็นบ่นๆ กันว่า เวลาไปรับยาเที่ยวหน้าลากมาเยอะๆ นะ เพราะตอนนี้ลดราคาอยู่เหลือ 2 ป๋อง $5 จาราคาเต็มป๋องละ $3.79 พ่อชอบไอ้ราสพ์เบอรี่ทวิสต์ ส่วนลูกชอบสูบซิก้าร์สอดไส้

page-386

Wednesday, April 22, 2009

ยกโขยง ไป Annual Physical

จริงๆ คุณแม่อู๋นำร่องไปก่อนแล้ว พอเมื่อวันอังคาร (21) ก็พาลูกๆ ไปโรงบาลตามที่ทำนัดไว้ โชคดีไม่ต้องรอ (ข้างนอก) นาน เช็คอินไม่ถึง 20 นาทีก็เรียกเข้าไปรอในห้อง จากนั้นก็รอเงก (ตามระเบียบ) ตอนที่รอข้างนอกน่ะ คนเต็มเลยจนไม่มีเก้าอี้ว่างให้นั่ง คนบ่นกัน แล้วก็ผัดกัน marching ไปที่เค้าน์เต้อร์ว่ารอโคตรนาน เห็นว่าหลายๆ คนมาถึงตั้งแต่ 10 โมงเช้า จนเราไปถึง บ่ายสามครึ่ง ยังรอกันต่อไปอย่างครุกรุ่น เค้าเปลี่ยนระบบเรียกคนที่ทำนัดเข้าไปก่อน เมื่อก่อนก็รอแบบนี้ 4-5 ชั่วโมง ยังเคยงงสงสัยและโมโหว่า จะทำนัดทำเกี๊ยะอะไรฟระ มีใบนัดแต่รอไปเถอะ สรุปว่าวันนั้นรู้สึกดีขึ้นนิดนึง 5555 เพราะต้องไปรอเงกต่อข้างใน

พยาบาลเข้ามาวัดโน่นนี่ให้เรา 3 คนแม่ลูกตามรูทีน ให้มี่ไปเก็บฉี่ วัดสายตา ชั่งตวงวัด ฯลฯ เล้วก็มาเจาะนิ้วจิ๋วๆไอ้ตี้ไป 2 ฉึกๆ แรกไม่ร้องเพราะงงๆ พอพยาบาลเดินกลับเข้ามา ขอโทษขอโพยว่าต้องเจาะอีกที ตานี้ไอ้ตี้เห็นเข็มรู้แกว เลยร้องซะหน่อย 555 จากนั้นก็รอๆๆๆๆ เกือบชั่วโมง ลูกๆ คลุ้มคลั่งอยู่ในห้องตรวจเล็กๆ ทีวงทีวีไม่มีให้ดู สุดท้ายพี่คาน Dr. Karl B. ก็เข้ามา

คนแรกก็จัดการแม่ก่อนเลย บอกว่าผลเลือดที่ตรวจรอบนี้แบเบอร์ว่าอิชั้น officially Diabetic ต้องใช้ยากด Metformin และเจาะเลือดวันละ 2 ครั้ง พร้อมกับให้ เครื่องเจาะตรวจน้ำตาลในเลือดชุดใหม่ เป็นของ Bayer - Bayer Ascensia Contour Blood Glucose Monitoring System สีม่วงแอ๋น ลองใช้แล้ว “ห่วย” ได้ใจมากๆ โดยเฉพาะ Lancet เชี่ยสุดๆ ใช้ยาก สู้เครื่องเก่าไม่เลยของ Roche - ACCU-CHEK Aviva Blood Glucose Meter System ซึ่ง Lancet เป็นแท่งเหมือนปากกา เปลี่ยนเข็มง่าย เพราะมาในรูปแบบ barrel (drum) เหมือนแมกกาซีนลูกกระสุนปืน Drum นึง มี 6 เข็ม กดหมุนเปลี่ยนเข็มง่ายดาย ไม่ต้องกลัวทิ่มแทงโดยไม่ตั้งใจ 555 เวลาไป follow up เดือนหน้า คงต้องโวยวายเสียหน่อยให้เขียนใบสั่ง refill เป็น ACCU-CHEK Aviva แถมอีคานเขียน prescription ไอ้ “เบเอ้อร์” มาให้พอใช้ตั้งปีนึง ไม่ไหว ไม่ไหว

page-383

Diabetes is a disorder of metabolism?the method that our bodies use digested food for growth and energy.Originally when we eat, the pancreas automatically produces the right amount of insulin to move glucose from blood into cells. On the other hand people with diabetes, the pancreas either produces little or no insulin, or the cells do not respond appropriately to the insulin that is produced. Glucose builds up in the blood, overflows into the urine, and passes out of the body. Thus, the body loses its main source of fuel even though the blood contains large amounts of glucose. Today we can separate Diabetes in 3 type and the three main types of diabetes are type 1 diabetes , type 2 diabetes and gestational diabetes.

โรคเบาหวานเป็นโรคที่อยุ่ในกลุ่มของโรคเมตาบอลึซึม ซึ่งก็คือกระบวนการหนึ่งของการเผาผลาญอาหารเพื่อนำไปใช้ของร่างกายนั่นเอง โดยปกติเมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป และระบบย่อยอาหารทำงาน ตับอ่อนจะมีหน้าที่ผลิตอินซูลินเพื่อดึงน้ำตาลที่ได้จากการย่อยเข้าไปสู่เซล ในขณะเดียวกันคนที่เป็นโรคเบาหวานก็อาจจะเกิดความผิดปกติที่ตับอ่อนในการผลิตอินซูลิน หรือเกิดได้จากการที่เซลไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ในเซลล์ได้ทั้งสองประการ จึงทำให้เกิดปัญหาน้ำตาลในเลือดสูงได้ และหลุดรอดจากการกรองของไตมาให้เห็นได้ในปัสสาวะ ปัจจุบันเราแบ่งชนิดของโรคเบาหวานออกได้ป็น สามชนิดใหญ่ๆคือ Type 1, Type2 และ เบาหวานในหญิงตั้งครรภ์

ไปอ่านกันต่อได้ที่ลิ้งค์นี้เลยค่ะ

Thanks > > http://www.susheewa.com/blog/?p=43

จบเรื่องของคุณแม่อู๋ที่เป็นเบาหวาน (ทายาทอสูร) และโลหิตจาง ก็มาถึงอีรอม วันที่ไปมันต้องฉีดวัคซีน 2 ตัว แต่ฉีดให้ได้แค่หนึ่ง ที่ฉีดไปคือวัคซีน ไอกรน บาดทะยัก (TDaP) 1 เข็ม ส่วน Meningococcal vaccine (MCV4) ฉีดให้ไม่ได้ เพราะอายุ ไม่ครบ 11 ปี เชี่ยมาก ขาดไปแค่ 1 วัน วันนี้ก็ครบแล้ว โมโหที่จะต้องพามันไปหาหมออีก ก็อีก 1 บิลไง เลยบ่นๆ คุณพยาบาลก็ช่วยบ่นว่า computer system มันไม่ compromised “หยวน” เลยนิ ถ้าฉีดไปมันก็ไม่ record เดี๋ยวอีมี่จะซวยอีกต้องฉีดซ้ำซ้อน มันยิ่งได้รับวัคซีนมากกว่าใครๆ เค้าอยู่ แล้วพี่คานก็บอกว่าอีมี่เป็นทายาทอสูรสืบทอดโรค psoriasis ขี้เรื้อนจากอิชั้น เลยทำนัดตัดตอนลัดคิวตัดหน้าคนเป็นร้อยให้เราสองแม่ลูกไปพบ dermatologist อาทิตย์หน้า จริงๆ ชื่ออิชั้นน่ะอยู่ใน waiting list ที่ต้องรอไปอย่างน้อยอีก 7-8 เดือนหรือเป็นปีก็ไม่ทราบได้ 5555 พี่คาน…นายยอดมาก เนื่องจากประเทศมาเดร่าไม่มีหมอโรคผิวหนังเลย แต่จะมีหมอผิวหนัง 2-3 คนผัดกันมาที่โรงบาลนี้สัปดาห์ละ 1 วันๆ ละ ไม่กี่ชั่วโมง เลยคิวยาวซะ ไม่อยากไปหา Dr. Hoffmann แล้ว แพงมากแล้วต้องขับรถไปเฟะโน่ด้วย

ตานี้ก็มาถึงไอ้ก๊อตตี้ พี่คานกังวลเรื่อง speech delay มากมายกว่าแม่มัน พอผลเลือดมาพบว่า hemoglobin = 9.6 ซึ่งต่ำมากอยู่ในเกณฑ์ no good เลยสั่งธาตุเหล็กให้กินแล้วไปเจาะเลือดตรวจซ้ำทุกเดือน เฮ้อ… จากนั้นก็ให้พยาบาลทำนัดไปพบ specialist ทางด้าน speech delay ที่โรงบาลเด็ก ได้นัดเมื่อไหร่ก็จะโทรไปบอกที่บ้านนะคับโผ้ม… นอกนั้นเค้าส้่งให้มันทำก้ม เงย กางแขนขา พอเค้าบอกมันก็ทำได้ด้วย 555 น่ารักมากลูกช้าน… ส่องดู หัว หู หาง มันก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เพราะมันเห็นตอนที่หมอเค้าสั่งให้พี่สาวทำไง แล้วตอนที่อีรอมทำตามหมอสั่งไอ้ตี้ก็ทำตาม หมอเค้าก็เลยบอกว่าไม่กังวลเรื่อง hearing แล้วมันก็ทำอะไรๆ ได้ตามสั่ง ปัญหาใหญ่กับไอ้ตี้ก็คือกินยากมาก “ขุนไม่ขึ้น” จริงๆ ตานี้ต้องมาป้อนยากันอีกวันละ 2 รอบ คิดแล้วปวดตับ เซ่งจี๊ และกรวยไต เลย เพราะธาตุเหล็กห้ามกินตอนท้องว่าง และห้ามกินกับอาหารนม

เมื่อคืนพออีก๊อตกลับบ้านก็เริ่มด่าๆๆๆๆๆ เบรคไปอาบน้ำ พอมันล้มตัวลงนอนด่าอีก… อีหมูตอน… everybody loves you why don’t you love yourself, I love you more than you do to yourself blah blah f*ck ๆๆๆๆ no more candy and soda in the house.. everybody has to be on diet and go to gym ร่ายยาวววววว… AMEN!

จบข่าว ไปแระ

Happy 11th Birthday…Rommy

ScreenShot010-1

Happy Birthday to My Rommy…

It’s a special day as my daughter Rommy turned eleven years old. As a mother, I’m amazed at how quickly eleven years has passed. Really. One of life's special gifts is to have a daughter like Rommy she’s such an awesome girl. I enjoy being in her presence and on her I can always depend. Rommy is more to me than a daughter; she is also my best friend. Again, I really am so fortunate to have a daughter like Rommy.

Today is Earth Day, Rommy’s birthday has the distinct honor of sharing the Earth Day.

เชิญชมรูปเก่าๆ ที่ไม่ต้องการคำบรรยาย 5555 (ขี้เกียจมากกว่า 555)

“Pictures Speak A Thousand Words” ใช้ได้เสมอ 555

page-374

Every time I heard the song “I Don't Wanna Miss A Thing” by Aerosmith…oh.. my.. oh.. my.. this song always reminds me about all my feelings for My Baby Rommy.


I dont wanna miss a thing - Aerosmith

I could stay awake just to hear you breathing
Watch you smile while you are sleeping
Far away and dreaming
I could spend my life in this sweet surrender
I could stay lost in this moment forever
Well, every moment spent with you
Is a moment I treasure

page-382

I don't wanna close my eyes
I don't wanna fall asleep
'Cause I'd miss you, babe
And I don't wanna miss a thing
'Cause even when I dream of you
The sweetest dream will never do
I'd still miss you, babe
And I don't wanna miss a thing

page-375

Lying close to you
Feeling your heart beating
And I'm wondering what you're dreaming
Wondering if it's me you're seeing
Then I kiss your eyes and thank God we're together
And I just wanna stay with you
In this moment forever, forever and ever

page-381

I don't wanna close my eyes
I don't wanna fall asleep
'Cause I'd miss you, babe
And I don't wanna miss a thing
'Cause even when I dream of you
The sweetest dream will never do
I'd still miss you, babe
And I don't wanna miss a thing

page-376

I don't wanna miss one smile
I don't wanna miss one kiss
Well, I just wanna be with you
Right here with you, just like this
I just wanna hold you close
Feel your heart so close to mine
And stay here in this moment
For all the rest of time

page-377

Don't wanna close my eyes
Don't wanna fall asleep
'Cause I'd miss you, babe
And I don't wanna miss a thing
'Cause even when I dream of you
The sweetest dream will never do
'Cause I'd still miss you, babe
And I don't wanna miss a thing

page-378

I don't wanna close my eyes
I don't wanna fall asleep
'Cause I'd miss you, babe
And I don't wanna miss a thing
'Cause even when I dream of you
The sweetest dream will never do
I'd still miss you, babe
And I don't wanna miss a thing

page-379

Don't wanna close my eyes
Don't wanna fall asleep, yeah
I don't wanna miss a thing

page-380

Happy birthday, Rommy,

Mommy love you very very much.

XOXO

earth_day

Happy Earth Day…everyone!

Sunday, April 19, 2009

งานบุญสงกรานต์ที่วัดลาว

ไปมาเมื่อวันเสาร์ (18) ร้อนตับแหก อากาศน่าป่วย เพราะ 70 กว่าอยู่ดีๆ พุ่งพรวดไปที่ 98 เลย เห็นบอกว่า 30 degree above normal – heat wave attack 555 ร้อนเหยียบร้อยในพริบตาแบบนี้ไม่ไหว วันนั้นเลยมีไอ้ตี้ (สงกรานต์แรกที่ได้วิ่งเล่นฉีดน้ำ) สนุกอยู่คนเดียว ปกติจะบ่นหนาวกัน เพราะเปียกปอนแล้วอากาศแค่ 60 อีมี่ที่เคยเป็นสาวแก่นไม่กลัวใครกลายเป็น black buffy เดินเอื่อยๆ เฉื่อยๆ เซ็งๆ บ่นร้อน เลยเดินตะเวนดูโน่นนี่นิดนึง ทักทายเพื่อนฝูง (ที่ไม่ได้อยากทัก 555 เพราะไม่ได้คิดไปเจอใคร) หน่อยนึงแล้วก็หนีไปทานอาหารไทยที่ร้าน Thai Gem แล้วก็กลับบ้านกัน

รูปนี้ก็เป็นบริเวญวัด มีที่เห็นใหม่แปลกตาก็พระพุทธรูปตาโตเหมือน “อาราเร่” แล้วก็มีอิฐวางเป็นวงวนเวียน น่าจะเอาไว้เดินจลกลมมั๊ง (ต้องถามแม่กล้วยบวดชีหนีรัก-ว่าแท้ที่จริงเค้าเรียกว่าอะไร เพื่อนกิจกรรมใด) แล้วก็รถขบวนแห่นางสงกรานต์ (ราดสะเทวี 555) ปีนี้ไปไม่ทันดูขบวนแห่ อีกรูปคือตำรวจรมควัน “ปิ้งไก่” และสิงโตหน้าวัด

page-368

รูปนี้เป็นพิธีรดน้ำผู้ใหญ่ (มั๊ง) ดูพ่อเฒ่าแม่เฒ่า แต่งโตงามแท้ๆ และพวก (สี่แยก) ราดสะเทวี 555

page-371

อันนี้เป็นครอบครัวบันเทิงของอิชั้น แต่วันนี้ “เฉา” ไปหน่อย เพราะร้อนอิ๊บอ๋าย

page-370

อีมี่หนีร้อนไปพึ่งแดด เดินวนๆ ให้ครบ นอกนั้นก็เป็นรูปเวทีรำวง มีรอบแด๊นซ์กระจายด้วยนะ แล้วก็ป้าๆ แต่งตัวสวยมาเที่ยววัด ส่วนรูปล่างซ้ายเป็นไอ้พวกเด็กๆ เล่นฉีดน้ำปะโฟมกัน 555 มันไม่เล่นแป้งหรอก มันเล่นโฟมโกนหนวด Silly String แล้วก็ไอ้ Snow Foam ที่เค้าเอาไว้สเปรย์ต้นคริสต์มาสให้ดูเหมือนมีหิมะฟูๆ เกาะอยู่น่ะ

page-373

เอาดูกัน มันเล่นกันได้น่ากลัวมาก กระโดดใส่กันแร้ง…แรง ดังโครมๆ นึกว่ามันตีกัน แล้วปล้ำกันแบบน่ากลัวว่ามันจะท้องเลยแหละ ลืมถ่ายรูปให้เห็นว่ากระป๋องสเปรย์สารพัดชนิดกระจัดกระจายเขวี้ยงทิ้งไว้ทั่วสนามวัดเป็นร้อยๆ เลยแหละ เด็กเวนพวกนี้เล่นแล้วไม่เก็บทิ้งเป็นที่เป็นทาง แล้ววัดก็ไม่เห็นมีถังมีเข่งให้ทิ้งขยะ ไอ้เบ๊อะร่มแดงนั่นเพ่นพ่านไม่กลัวใคร มันนึกว่ามันตัวเท่าเค้ามั๊ง

page-369

ไอ้อ้วนเดินเก็บขวดเก็บกระป๋อง (ทำมา “ห่า” กิน น่าดู 555) บางทีเจ้าของเค้ายังนั่งอยู่ตรงนั้น-มันเก็บขวดน้ำเค้าเททิ้งต่อหน้าเฉยเลย Lowlife White Trash ตัวจริง 555 ส่วนสองอ้ายนี่เป็น จนท. รักษาประตูทางออก นั่งรอ บ๊ายบาย คนที่ขับรถออก พวกเราร้อนตับปลิ้น แต่ดูพี่แกแต่งตัวดิ 555 นอกนั้นก็เป็นรูปไอ้ตี้โดนพ่อล๊อคตัวเพราะเหนื่อยวิ่งไล่จับมัน สุดท้ายล๊อคมันใน stroller ซะเลย เป็น Dr. Hannibal Lecter ตามปกติ มันก็ยังฉีดน้ำใส่คนเดินผ่านไปมาตลอด

page-372

จบแล้วค่า

Thursday, April 16, 2009

น้ อ ง ดำ ด อ ต ค อ ม - เรื่องขาว ๆ ดำ ๆ ในสังคมไทยและเขมร

อัมพร จิรัฐติกร ampornfa@yahoo.com

ในระยะหลัง ๆ มานี้ดูโฆษณาทางทีวีของไทยจะมีแต่เรื่องขาว ๆ ออกมาให้เห็นจนล้นจอ เรื่องขาว ๆ ที่ว่านี้ก็มีตั้งแต่โฆษณาครีมหน้าขาว โลชั่นที่อ้างว่าจะทำให้ตัวขาว และยาปราบเต่าที่สามารถทำให้รักแร้ "ขาว" ได้อย่างน่ามหัศจรรย์

ครีมหน้าขาวเหล่านี้อันที่จริงก็ไม่ใช่ของใหม่ ผู้หญิงไทยสมัยก่อน ก็เคยใช้ขมิ้นขัดตัวขัดหน้าให้ขาว หรือในยุคหนึ่งสาวไทยจำนวนไม่น้อย ก็นิยมใช้ครีมกวนอิม โดยเชื่อว่าจะทำให้หน้าขาว แต่ของใหม่ที่มาพร้อมครีมหน้าขาว มาพร้อมโลชั่น ที่โฆษณาว่าทำให้ผิวขาวขึ้นในยุคปัจจุบันก็คือ เนื้อหาสาระที่บรรจุอยู่ในโฆษณาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ที่พยายามตอกย้ำอย่างเหลือเกินว่า ความดำเป็นสิ่งเลว เป็นของน่ารังเกียจน่าอับอาย

เพราะฉะนั้นคุณสาว ๆ จะต้องหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกไวท์เทนนิ่ง ไลท์เทนนิ่งทั้งหลาย เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคม อันหมายถึงเพื่อไม่ให้ถูกนินทาลับหลังว่า "น้องดำดอตคอม" เพื่อให้มีผู้ชายมาขอนัดกินข้าวด้วย และเพื่อไม่ให้แพ้เพื่อนที่ผิวขาวกว่า เลยมีผู้ชายมองมากกว่า

ลองดูสักสองสามตัวอย่างของโฆษณาเหล่านี้ แล้วเราอาจจะมองเห็นได้ว่า วงการโฆษณากำลังเล่นเกมอะไรบางอย่าง กับความคิดเรื่องความขาวความดำของผู้หญิงไทย

ชายหนุ่มสองคนเดินคุยกันมาตามทาง หนุ่มหนึ่งบอกเพื่อนว่า

“เราเพิ่งไปถ่ายรูปน้องฟ้ามา"

"น้องฟ้าเนี่ยนะ เปลี่ยนคนอื่นเถอะ ดำก็ดำ แล้วก็แบบ...เปลืองฟิล์มเปลืองแฟลช"

"เดี๋ยวนี้เค้าหน้าใสแล้ว"

เพื่อนยังไม่ยอมหยุด

"เฮ้ย ! รู้หรือเปล่า ฉายาน้องเค้าน่ะ...น้องดำดอตคอม !"

...และแล้วน้องฟ้าก็เดินมา หน้าขาว ใสปิ๊ง สะกิดไหล่หนุ่มคนที่เรียกน้องฟ้าว่าน้องดำ ชายหนุ่มหันไปเห็นร้องคราง

"น้องฟ้า" ด้วยความตะลึงในใบหน้าที่ขาวขึ้น จนสะดุดตาของเธอ

เสียงซาวนด์เอฟเฟ็กดังเป็นเสียงคนหน้าแตกเพล้ง ! ตัดเป็นภาพน้องฟ้าใช้โฟมล้างหน้า "พอนด์ สกินไลท์เทนนิ่ง" พร้อมเสียงอันน่าเชื่อถือระบุสรรพคุณว่า ใช้โฟมยี่ห้อนี้แล้วหน้าจะค่อย ๆ ขาวขึ้น

สรุปว่าน้องฟ้าเดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นน้อง "หน้าใสดอตคอม" ไปแล้ว

ก่อนหน้านั้นผลิตภัณฑ์หน้าขาวยี่ห้อนี้ ผลิตหนังโฆษณาออกมาด้วยสารที่ค่อนข้าง "เบา" กว่านี้ เป็นเรื่องของสาวออฟฟิศคนหนึ่ง ที่ชายหนุ่มซึ่งตัวเองปิ๊งอยู่ไม่ยอมสนใจเธอเอาเสียเลย เพราะเธอยังหน้าดำอยู่ แต่เมื่อเธอได้ใช้ "พอนด์ สกินไลท์เทนนิ่ง" หน้าของเธอก็ขาวขึ้น จนทำให้ชายหนุ่มคนนั้นยกป้ายขอนัดกินข้าวกับเธอทันที

โฆษณาครีมหน้าขาวอีกชนิดหนึ่ง เลือกพรีเซ็นเตอร์เป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อาภาพร นครสวรรค์ โดยให้อาภาพรออกมาร้องเพลงโฆษณา ที่เลียนเนื้อร้อง และทำนองเพลง "ชอบไหม" ของเธอ หนังโฆษณาปล่อยให้อาภาพรเดินไปเดินมาสองสามรอบ เพื่อร้องเพลงชอบมะ ชอบมะ ขาว ๆ อย่างนี้ จากนั้นก็มีเด็กสาวคนหนึ่งมาพูดจากับเธอเป็นทำนองว่า

"ก็หนูไม่สวยอย่างพี่นี่"

อาภาพรตอบด้วยน้ำเสียงเซ็กซี่ว่า "สวยน่ะไม่เท่าไหร่หรอกน้อง แต่ขาวน่ะมันเร้าใจกว่า"

นอกเหนือไปจากครีมหน้าขาว โลชั่นที่มักอ้างว่าใช้แล้วผิวจะขาวขึ้นในหกสัปดาห์แล้ว ผลิตภัณฑ์เพื่อความขาวอีกชนิดหนึ่ง ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้เองก็คือ ยาทารักแร้ ที่สามารถทำให้รักแร้ขาวได้อย่างมหัศจรรย์

ก่อนหน้านั้นโรลออนพวกนี้ ไม่เคยเสนอสรรพคุณ เรื่องความขาวมาก่อน มีแต่โฆษณาว่า ใช้แล้วแห้งสบาย ไม่เหนียวเหนอะหนะ กลิ่นหอมชื่นใจคนใกล้ชิด แต่เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นมาเน้น เรื่องความขาวไปได้ "เรโซนา ไวท์" เป็นตัวอย่างหนึ่งที่พยายามจะบอกคุณผู้หญิงทั้งหลาย ที่รักแร้ไม่ขาวว่า

"โจรปล้นสิบครั้ง ไม่เท่าอาย (เพราะรักแร้ดำ) ครั้งเดียว"

ลองจินตนาการดูว่า ถ้าคุณเป็นผู้หญิงที่หน้าตาพอไปวัดไปวาได้ วันหนึ่งเกิดอยากใส่เสื้อแขนกุดไปชอปปิง แล้วก็ให้บังเอิญมีโจรหน้าตาน่าเกลียด เข้ามาปล้นแผนกซูเปอร์มาร์เกต บังคับให้คุณยกมือขึ้น คุณไม่กล้ายก โจรเข้ามาตะคอกว่า

"บอกให้ยก ทำไมไม่ยก"

เมื่อคุณจำใจต้องยกมือขึ้น ตามคำสั่งของโจรกระจอก คนทั้งห้าง ก็พร้อมใจกันหันมามองคุณเป็นตาเดียว คุณจะรู้หรือไม่รู้ ก็ไม่ทราบว่าเขามองคุณเพราะอะไร แต่ที่แน่ ๆ คนทั้งห้าง รวมทั้งเจ้าโจร ต่างก็ทำสีหน้าผิดหวัง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า รักแร้คุณจะดำขนาดนี้ !

ใกล้ ๆ จุดที่คุณยืนอยู่ บังเอิญมีสาวนางหนึ่ง ใส่เสื้อแขนกุดเหมือนกัน แต่ต่างออกไปตรงที่รักแร้เธอขาวไร้ที่ติ เจ้าโจรจึงหันมาพูดกับคุณว่า

"มันต้องอย่างน้องคนนี้ ขาวจังน้อง ทำไงน่ะ"

น้องรักแร้ขาวเลยถือโอกาสตอนที่โจรเข้ามาใกล้ ยกขวดไวน์ฟาดจนโจรสลบไป แล้วเธอก็ยกมือโชว์ใต้วงแขนขาว ยิ้มรับเสียงปรบมืออย่างผู้ชนะ

ความสำเร็จของเธอในการปราบโจรได้ครั้งนี้ มาจากการใช้ "เรโซนา ไวท์" ที่ทำให้รักแร้ขาวววว เสียจนโจรต้องหลง

เชื่อได้ว่าหลังเหตุการณ์จบลงแล้ว คุณก็คงจะอายเสียจนต้องรีบไปหาซื้อ "เรโซนา ไวท์" มาใช้ เพราะเผื่อครั้งต่อไปโจรปล้นอีก จะได้ไม่ต้องอับอายจากรักแร้ที่ดำของตัวเอง ก็อย่างที่สโลแกนโฆษณาเขาว่าไว้ "โจรปล้นสิบครั้ง ไม่เท่าอายครั้งเดียว"

เรื่องทั้งหมดที่ยกมานี้ เป็นเพียงตัวอย่าง ของโฆษณาครีมหน้าขาว และโลชั่นที่คุยว่า ใช้แล้วทำให้ผิวขาวจำนวนมาก ที่ออกมาครอบครองพื้นที่ทางจอโทรทัศน์ ในช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือนให้หลัง นี่เป็นเพียงหนังตัวอย่างไม่กี่เรื่อง ซึ่งล้วนแต่กำลังเสนอสาร ต่อผู้หญิงไทยทั่วประเทศว่า ถ้าหน้าไม่ขาว ผิวไม่ขาว รักแร้ไม่ขาวแล้ว ชาตินี้ก็อย่าหวังว่า จะมีผู้ชายหน้าไหนมาสนใจเลย

ปีสองปีหลังมานี้ โฆษณาผลิตภัณฑ์ ที่ทำให้ผู้หญิงสามารถขาวขึ้นได้ ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นหน้า ผิว หรือรักแร้ ดูจะแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงลูกค้าอย่างหนัก ยิ่งแข่งขันกันสูงเท่าไร เนื้อหาโฆษณาก็ยิ่งดุเดือด จากที่แต่ก่อนอาจจะเป็นเพียงแค่ขาวขึ้น แล้วทำให้มีคนมาชวนกินข้าว หรือขาวขึ้นจนหนุ่มต้องมองเหลียว ก็กลายเป็นความพยายามที่จะสร้างความดำ ให้เป็นเรื่องน่ารังเกียจ เป็นความน่าอับอาย ดำอย่างนี้สมควรจะถูกเรียกว่า "น้องดำดอตคอม" (เพื่อให้เข้ากับยุคไอที) ดำอย่างนี้ใครจะอยากถ่ายรูปให้ เปลืองทั้งฟิล์มเปลืองทั้งแฟลช หรือดำอย่างนี้ใครจะมามอง

มันต้องขาว ๆ ถึงจะเร้าใจกว่า

ดูเหมือนเจ้าของผลิตภัณฑ์ จะมองเห็นตลาดของครีมหน้าขาว โลชั่นเปลี่ยนผิวขาวที่เพิ่มมากขึ้น และดูเหมือนคนทำโฆษณาจะหมดมุขใหม่ ในการชวนเชื่อ ให้หญิงสาวหันมาใช้ครีมหน้าขาวเสียแล้ว จึงต้องหันมาใช้วิธีเหยียดคนดำกันจะ ๆ ไปเลย เพื่อตอกย้ำความคิดที่ว่า ขาว-ดี ดำ-ชั่ว จนคนดำหมดความมั่นใจ หมดที่ยืนในสังคม และท้ายที่สุด ก็ต้องหันมาพึ่งพาครีมเหล่านี้ เพื่อให้ขาวขึ้นเหมือนคนอื่น ๆ

ดูโฆษณาเหล่านี้ทุกวัน ผู้เขียนก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าสนใจ ที่จะมองย้อนกลับไปดูว่า ความคิดเรื่องดำเลว ดำน่าอับอายนั้น มีอยู่ในสังคมไทยมาตั้งแต่เมื่อไร และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ความคิดเรื่องขาว-ดี ดำ-ชั่ว และความนิยมในการใช้ครีมหน้าขาว ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นเฉพาะในสังคมไทยเท่านั้น มันแพร่ระบาดไปถึงประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง พม่า ลาว และเขมรแล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผู้ประกอบการรายหนึ่ง ที่ส่งสินค้าเข้าไปขายในเขมรเล่าว่า ระยะสองสามปีหลังมานี้ ผลิตภัณฑ์ประเภทครีมหน้าขาว ทำตลาดฟู่ฟ่ามาก เมื่อเทียบกับสินค้าประเภทอื่น ที่บริษัทส่งไปขายในเขมร ยอดขายครีมทาเพื่อให้หน้าขาว โลชั่นที่คุยว่าใช้แล้วผิวจะขาวขึ้นพวกนี้ ทำรายได้ให้บริษัทเดือน ๆ หนึ่งเป็นล้านบาทเลยทีเดียว

นักธุรกิจรายนี้กล่าวว่า เขาเองยังแปลกใจว่า ทำไมมันถึงได้ขายดีขนาดนี้ ตัวเลขล้านบาทนั้นนับว่าสูงไม่น้อย เมื่อเทียบกับประชากรเขมร ที่มีเพียง ๗-๘ ล้านคน ตีเป็นผู้หญิงเสียครึ่งหนึ่ง และในจำนวนครึ่งหนึ่งนั้น สัดส่วนของคนที่มีกำลังซื้อ ก็มีไม่มากเลย

ตลาดครีมหน้าขาวในเขมร แบ่งออกเป็นสองระดับ ระดับล่างคือครีมทาหน้าขาวประเภทราคาถูก ที่โฆษณาว่าใช้แล้วเห็นผลทันที เรียกว่าทาปุ๊บขาวปั๊บเลยทีเดียว กับอีกระดับหนึ่งคือ ตลาดระดับกลาง โฆษณาว่าเป็นสินค้าคุณภาพ ใช้แล้วไม่ขาวทันที ต้องสองสามเดือนกว่าจะขาว แต่รับประกันได้ว่าปลอดภัย

ตอนนี้ครีมหน้าขาวชนิดราคาถูกกำลังมาแรงมาก ๆ ในหมู่สาวชาวเขมร เพราะคำโฆษณาที่ดึงดูดใจว่า ทาปุ๊บขาวปั๊บ บวกกับราคาถูก ในขณะที่ในเมืองไทยสินค้าประเภทนี้เลิกผลิตไปแล้ว เพราะมีส่วนผสมที่กัดผิวหน้าจน อย. (คณะกรรมการอาหารและยา) ไม่รับรองคุณภาพ อีกทั้งแนวโน้มของตลาดในเมืองไทย ก็เปลี่ยนไป สาวไทยไม่ว่าจะมีเงินหรือไม่มีเงิน ก็เริ่มหันไปใช้สินค้าเกรดดี มีคุณภาพมากขึ้น บริษัทหัวใสเหล่านี้ ก็เลยทำการผลิตครีมหน้าขาว (ที่ใช้แล้วอาจจะหน้าพังเอาได้ง่าย ๆ) ส่งออกไปขายในประเทศเพื่อนบ้าน คือเขมรเป็นหลัก

พูดอีกอย่างก็คือ ขายสาวไทยไม่ได้แล้ว ก็ส่งไปหลอกขายสาวเขมรแทน แล้วก็หลอกได้เสียด้วย เพราะสาวเขมร เกิดอาการอยากหน้าขาวขึ้นมาอย่างมาก ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีหลังมานี้

การที่ตลาดครีมหน้าขาวในประเทศเขมร แบ่งออกเป็นสองระดับนั้น ส่งผลให้เกิดการต่อสู้ทางการตลาดกันอย่างดุเดือด ผู้ผลิตครีมหน้าขาวราคาถูก ไปขายในเขมรได้เปรียบกว่า ตรงที่สินค้าราคาถูก ขายง่ายขายคล่อง โดยไม่ต้องสนใจว่าคนใช้แล้ว หน้าจะลอกจะพังอย่างไร ขอให้ขายได้เป็นพอ ในขณะที่ผู้นำเข้าครีมหน้าขาว ประเภทราคาแพงไปขาย ในเมื่อต่อสู้กับราคาของสินค้าเกรดต่ำไม่ได้ ก็จำต้องหากลยุทธ์แข่งขัน ถึงขั้นลงทุนโฆษณาทางโทรทัศน์ โจมตีครีมหน้าขาวราคาถูก ออกทางจอทีวีเลยทีเดียว

นักธุรกิจไทยที่นำเข้าครีมหน้าขาวนานาชนิดในท้องตลาดไทย ไปขายในเขมรเล่าว่า สามสี่ปีก่อน สินค้าตัวนี้ยังไม่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในเขมรเท่าไรนัก เพิ่งมาบูมมาก ๆ เอาสองสามปีหลังมานี้เอง

เมื่อถามว่าทำไมตลาดครีมหน้าขาวในเขมร ถึงฟู่ฟ่าเอามาก ๆ ในช่วงระยะหลัง ๆ นักธุรกิจรายนี้ให้ความเห็นว่า อาจเป็นเพราะอิทธิพลของรายการทีวีไทย ที่เข้าไปฉายในเขมร คนเขมรดูทีวีไทย ดูละครไทย เกมโชว์ของไทย แล้วเห็นดาราไทยแต่ละคนหน้าขาวจั๊วะ ก็เกิดความรู้สึกว่าดาราไทยทั้งขาว ทั้งสวย ทันสมัย ความสวยนั้นมาพร้อมความขาว จึงเกิดความอยากขาวบ้างตามแบบดาราไทย

คนเขมรซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ผิวคล้ำ ถูกอิทธิพลทีวีไทยซึ่งมีรสนิยมเดียวคือขาว ประกอบกับการไหลบ่าของสินค้าประเภทนี้ ที่มีโอกาสเข้ามาวางขายในตลาดเขมรมากขึ้น สาวเขมรที่เคยคิดว่าผิวกาย และใบหน้าที่คล้ำคมของตัวเองนั้น ไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลงได้ ก็เริ่มหันมารับรู้ว่า บัดนี้ได้มีผลิตภัณฑ์วิเศษที่สามารถทำให้มันขาวขึ้นได้แล้ว

สาวเขมรเลยแห่กันมาซื้อไปใช้ เสียจนบริษัทผู้นำเข้ารวยไปตาม ๆ กัน

ฝรั่งเอ็นจีโอรายหนึ่ง ซึ่งเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเขมรนานหลายปีเล่าว่า เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ในการที่จะบอกให้ผู้หญิงเขมรภูมิใจในสีผิวของตน สำหรับผู้หญิงเขมรแล้ว ผิวขาวดึงดูดใจผู้ชายมากกว่าผิวดำอย่างเห็นได้ชัด ผู้หญิงผิวคล้ำจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากความน่าเกลียด

ตามตลาดในพนมเปญ และตามเมืองใหญ่ ๆ ในเขมรจึงเต็มไปด้วยโลชั่น และครีมที่โฆษณาว่าจะทำให้ผิวขาวขึ้น แน่นอนว่ามาจากเมืองไทย และต้องติดป้ายเป็นภาษาไทย ญี่ปุ่น หรืออังกฤษเท่านั้น ติดป้ายเป็นภาษาเขมร คนเขมรจะไม่ซื้อเด็ดขาด

สาว ๆ เขมรจะพอกครีมพวกนี้ไว้บนใบหน้าก่อนเข้านอน ถ้าหากมีเงินมากกว่านี้ พวกเธอก็คงจะใช้ทาผิวทาแขนด้วย แต่นี่มีเงินน้อยก็เก็บไว้ทาเฉพาะหน้า หลายยี่ห้อที่วางขายในตลาด ก็อย่างที่บอกไปแล้ว คุณภาพไม่ดี จนทำให้สาวเขมรหลายรายเป็นเห่อคัน บางคนก็เกาจนอักเสบ

แต่พวกเธอก็ยังยืนยัน ที่จะประหยัดเงินทุกเรียล (หรือทุกดอลลาร์) ที่หาได้ เพื่อมาซื้อครีมพวกนี้

ชาวต่างชาติคนหนึ่งที่มีแฟนเป็นชาวเขมร ให้ความเห็นว่า มันยากที่จะบอกว่าเป็นอย่างไร เมื่อคุณกำลังมีเซ็กซ์ กับผู้หญิงที่พอกครีมหน้าขาวไว้เต็มหน้า ค่ำคืนนั้นของคุณ จะอบอวลไปด้วยกลิ่นครีมฟุ้งกระจาย มันยากที่จะบอกเธอว่า เขาไม่ต้องการให้เธอหน้าขาวไปกว่านี้ เพราะเธอจะตอบกลับมาว่า

เชื่อสิว่าถ้าฉันหยุดทาครีมพวกนี้ คุณก็จะทิ้งฉันไป

เรื่องยังไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะประเด็นเรื่องขาว ๆ ดำ ๆ นี้ได้กลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับ "เชื้อชาติ" ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

ในประเทศเขมรนั้น มีผู้หญิงเวียดนามเข้ามาอาศัยอยู่จำนวนไม่น้อย และผู้หญิงเขมรแทบทุกคนก็จะเห็นพ้องต้องกันว่า ผู้หญิงเวียดนามสวย เพราะขาว แต่ในขณะเดียวกันผู้หญิงเขมร ก็จะมองว่าผู้หญิงเวียดนามนั้นน่ารังเกียจ เพราะพวกนี้เข้ามาอยู่ในประเทศเขมร เพื่อประกอบอาชีพโสเภณีโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นอาชีพที่รุ่งเรืองที่สุดในเขมรปัจจุบัน รองจากการค้าอาวุธ และยาเสพย์ติด

ในขณะที่ผู้หญิงเขมรโดยทั่ว ๆ ไปรังเกียจสาวเวียด เพราะประกอบอาชีพโสเภณี โสเภณีเขมรเอง ก็เกลียดโสเภณีเวียดนาม เพราะพวกนี้เข้ามาแย่งอาชีพของตน ขายบริการในราคาถูกกว่า แถมยังได้เปรียบกว่าเพราะขาวกว่า

ผลของความสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้ เลยทำให้โสเภณีเขมร กลายเป็นคนกลุ่มที่ใช้ครีมหน้าขาวมากที่สุด ในประเทศเขมร เพราะเธอเข้าใจว่าผู้ชายต่างชาตินั้นชอบขาว ๆ เหมือนผู้หญิงเวียต

เรื่องนี้เลยกลายเป็นตลกร้ายสำหรับผู้หญิงเขมร และเป็นเรื่องโจ๊กดูถูกเชื้อชาติ ที่เล่ากันในหมู่ชาวต่างชาติว่า ฝรั่งคนหนึ่งเห็นผู้หญิงเขมรอยากขาวมาก จึงแกล้งบอกสาวเขมรว่า ที่ผู้หญิงเวียตนามผิวขาวนั้น เป็นเพราะพวกเธอประกอบอาชีพโสเภณี เพราะพวกเธอนอนกับผู้ชายต่างชาติ ผู้หญิงเขมรแสนซื่อ (ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพโสเภณี) เลยแทบจะรีรอไม่ไหว ที่จะกระโดดขึ้นเตียงกับฝรั่งคนแรกที่ชวน

เพื่อจะได้ผิวขาวเหมือนสาวเวียด

เรื่องอยากขาวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศเขมรเท่านั้น นักธุรกิจรายดังกล่าวบอกว่า บริษัทของเขากำลังจะไปบุกเบิกตลาด ในประเทศลาวกับพม่า และหลังจากที่ได้ลองไปสำรวจตลาดมาแล้ว พบว่าสาวลาว และสาวพม่า มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์หน้าขาวสูงมาก รับรองว่าไปเปิดตลาดเมื่อไร จะต้องขายดิบขายดีเหมือนในเขมรเป็นแน่

เรื่องนี้มองอย่างผิวเผินแล้ว ก็อาจจะฟังดูเป็นเรื่องธรรมดา ใคร ๆ ก็อยากขาวเป็นเรื่องธรรมชาติ และหลายคนก็อาจจะมองว่าความคิดเรื่องขาว-ดี ดำ-เลวนั้น ก็มีอยู่ในสังคมไทย และสังคมของประเทศเพื่อนบ้านมาเนิ่นนานแล้ว เราถึงได้มีคำเรียกแขกทมิฬว่า "หินชาติ" อันแปลว่า "มีกำเนิดต่ำ เลวทราม" ซึ่งนี่อาจเป็นภาพสะท้อนของการที่เรามองว่า ความดำนั้นเป็นของคู่กับความต่ำช้า เลวทราม

คนที่ดำมาก ๆ จึงกลายเป็น "พวกหินชาติ" ไปโดยปริยาย เพราะความดำเพียงอย่างเดียว

แต่อย่าลืมว่า เราเองก็ไม่เคยรังเกียจผิวสีของบรรพบุรุษของเรา ซึ่งไม่ใช่ผิวดำ แต่เป็นผิวสองสีตามเชื้อพันธุ์ ตามสภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศของเส้นศูนย์สูตร

เราไม่เคยคิดว่าเราดำ เมื่อเทียบกับแขก เมื่อเทียบกับจีน จนกระทั่งเมื่อเราติดต่อกับฝรั่งชาติตะวันตก จนกระทั่งเมื่อหนังฮอลลีวูดเข้ามา และจนกระทั่งเมื่อเรามีแต่ดาราลูกครึ่งเต็มเมือง

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการที่คนไทยผสมจีนมากขึ้น ทำให้ผิวกระเดียดออกไปทางขาวมากขึ้น และสังคมเมืองก็เติบโตขึ้น จนคนจำนวนมากไม่ต้องออกไปทำงานกลางแดด ค่านิยมของชายไทยก็เริ่มเปลี่ยนไป อันสะท้อนออกมาให้เห็นด้วยการใช้คำว่า "ขาว สวย หมวย" หรือ "สูงยาวขาวเพรียว" มาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการให้ "ค่า" แก่ผู้หญิง

ยิ่งมาถูกตอกย้ำด้วยการที่ครีมพวกนี้ผลิตออกมาสู่ตลาดมากขึ้น มีสรรพคุณราวกับของวิเศษ "ใช้ติดต่อกันในหกสัปดาห์ ผิวหน้าจะค่อย ๆ ขาวเนียนใส ผิวกายจะค่อย ๆ ขาวขึ้น" ยิ่งทำให้สาวไทยรู้สึกว่าความขาวเป็นสิ่งสร้างได้ ก็จำต้องสร้างขึ้นมาเพื่อให้สอดรับกับรสนิยมปัจจุบัน

เมื่อ ๒๐-๓๐ ปีก่อน เรายังมีดาราที่ผิวคล้ำ คมเข้มแบบไทย ๆ ประดับวงการอยู่เลย แต่พอถึงยุคนี้แทบจะไม่มีดาราหญิงคนไหนที่ผิวคล้ำ มีเพียงสองสามคนที่ไม่อาจถือว่าดำ แค่ขาวไม่เท่าคนอื่นเท่านั้น ก็มักจะถูกล้อถูกแซวว่าดำผ่านจอโทรทัศน์บ้าง ผ่านหน้าหนังสือพิมพ์บ้างให้ได้ยินตลอดเวลา

ผลิตภัณฑ์พวกไวท์เทนนิ่ง ไลท์เทนนิ่งทั้งหลาย ที่นำเสนอออกสู่ตลาด ในช่วงสามสี่ปีหลังมานี้ บวกกับความคิดสร้างสรรค์ของวงการโฆษณา กำลังสร้างผู้หญิงไทยให้เหมือนกันไปหมด คือหน้าต้องขาว ผิวต้องขาว และรักแร้ขาว (ความจำเป็นของยุคสายเดี่ยว)

ค่านิยมเหลานี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ได้ส่งผลสะเทือนต่อเพื่อนบ้านของเรา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะพวกเขาใช้สินค้าไทย ดูทีวีไทย และแน่นอนรับอิทธิพลทางรสนิยมไปจากไทยด้วย

ความทันสมัยของดาราไทย ที่เขาเห็นทางทีวีนั้นมาพร้อมกับความขาว จึงมิพักต้องสงสัยเลยว่า สาวเขมร สาวลาว สาวพม่า จะเกิดความรู้สึกอยากขาว อยากแลดูสวยทันสมัยแบบไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเขมร ที่ผิวคล้ำกว่าคนลาว คนพม่า จะหันมาเป็นเหยื่อผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างเต็มใจ

ฟังดูก็เป็นเรื่องตลกร้าย ที่ฉลากบอกสรรพคุณผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เมื่อส่งไปขายในเขมรจะต้องเขียนเป็นภาษาไทย ญี่ปุ่น หรือภาษาอังกฤษเท่านั้น ติดป้ายฉลากเป็นภาษาเขมร คนเขมรจะเห็นเป็นของเกรดต่ำ จะไม่ซื้อไปใช้เด็ดขาด คิด ๆ แล้วก็ขำไม่ออก ที่สาวเขมรแห่ซื้อผลิตภัณฑ์พวกนี้ไปใช้ คิดเป็นมูลค่าเดือนหนึ่งหลายล้านบาท โดยไม่สามารถอ่านสรรพคุณที่ติดข้างกล่องได้ เข้าใจว่าครีมที่ซื้อไปใช้นั้น จะทำให้เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้า และร่างกายของตน

แต่ก็ยังยืนยันที่จะซื้อไปใช้ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นของไทยแล้ว ต้องดีแน่นอน

ไม่น่าเชื่อว่าเราได้สูญเสียอะไรไปมากเหลือเกิน ในการที่จะพัฒนาไปสู่ความมีอารยะ แม้ว่าสิ่งที่เราได้มา คือความสามารถในการเปลี่ยนแปลงร่างกายของตน ขณะเดียวกันเราก็ทำให้คนผิวคล้ำหรือดำ ไม่มีที่ยืนในสังคม

เราได้พัฒนาไปสู่ความเจริญสูงสุด เพื่อที่จะให้โฆษณามาบอกกับเราว่า การเป็นคนดำนั้น มันเลวอย่างไร มันไม่สมควรถูกถ่ายรูป เพราะดำ มันทำให้ไม่มีผู้ชายมาขอเดท เพราะดำ มันน่าอับอายเวลาถูกโจรปล้น เพราะรักแร้ดำ

ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เรียกว่าโลกาภิวัตน์ ได้ทำให้คนในสังคมอุษาคเนย์ สูญเสียความภูมิใจในผิวสี ของบรรพบุรุษไปแล้วอย่างน่าเสียดาย

ขอบคุณ..ที่มา > > http://www.sarakadee.com/feature/2000/10/black_dot_com.htm

อ่านเจอบทความข้างบนแล้วชอบ เลยเอามาแบ่งกันอ่าน ใครไม่อ่านก็ช่าง เลยก๊อป+แปะ เก็บไว้อ่านเองก็ได้วะ

จากนิตยสาร “สารคดี” ฉบับที่ ๑๘๘ เดือน ตุลาคม ๒๕๔๓ โน่น พ.ศ. 2543 กระแส “ต้องขาว” แรงขนาดนั้น เดี๋ยวนี้แรงยิ่งกว่า โดยความเห็นส่วนตัว คิดว่าเป็นเรื่อง โง่ บ้า ไร้สาระมากๆ ไม่ใช่ว่าอิชั้นเกิดมา (ค่อนข้าง) ขาว แต่หนุ่มๆ สาวๆ รุ่นใหม่ที่เชื่อว่า “ต้องขาว” ถึงจะดูดีมีสกุล ทำทุกอย่าง ทุ่มเทเงินทอง ยอมเอาชีวิตเข้าแลก ข่าวยากิน ยาทาให้ขาว ที่อันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ มีให้อ่าน ให้ได้ยิน ให้ดู อยู่เรื่อยๆ แถมยังต้องเสียเงินโดยปล่าวประโยชน์ มีแต่โทษนิ ถ้าเกิดต้องตายไปฟรือพิกลพิการ-ยังต้องอายเค้าอีก เฮ้อ

ส่วนเรื่องดำๆ ของชาวเขมร 555 อันนี้ประสบการณ์ตรง 5555 เพราะเมื่อยังเป็นสาวน้อยช่วงนึงที่เด็ดพ่อมีคนขับรถ+ภารโรงเป็นคนเขมร จำแกได้แม่น เป็นคนดีคนนึง แต่เรื่องดำ แม๊..…. พี่แกดำดี ดำตูด ตูดดำมากๆ พออ่านเรื่องนี้ก็เลยนึกว่าเอาอะไรทาดีนะแกถึงจะขาวขึ้นมาหน่อย คิดไปไร้ประโยชน์ แกไม่เดือดเนื้อร้อนใจว่า “ต้องขาว” ห่วงทำมาหากินเลี้ยงชีวิตเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย สบายใจเฉิบของแกไป กู้ดๆ

แต่อิชั้นมีเพื่อนชาวเขมรอยู่ก้อนใหญ่ที่นี่ บางคนก็ดำทะมึนดี บางคนก็กาแฟส่ายนม ขาวๆ ผ่องแบบคนจีนก็มี จากที่เคยรักใคร่กันดี หลังๆ ห่างหายหน้าไป อิชั้นมีเรื่องเคืองใจเพราะ “พวกมัน” ชอบพูดจาดูถูกเหยียดหยามชาติไทย คนไทย อ้าว…แล้วกูนั่งโทนโท่อยู่เนี่ยเป็นใคร กูเป็นคนไทยนะโว้ย มันชอบพูดทำนองว่า ประวัติศาสตร์ชาติมันนะ ไม่มีประเทศสยามอยู่ในแผนที่โลกหรอก (บรรพบุรุษของกรูแบกมาด้วยจากเมืองจีนมั๊ง 555) คนไทยไม่ดีงั้น-งี้ แถมอาจเอื้อมจาบจ้วงเบื้องสูงด้วยบางครั้ง แม้แต่เรื่องเขาพระวิหาร พูดแล้วพูดอีก อิชั้นเคยพูดไปว่า อิชั้นเห็นด้วยนะว่าน่าจะคืนให้เขมรไป ขุด เจาะ ตัดภูเขา หน้าผานั่น หรือ ยกเอาที่มันต้องการเข้าไปไว้ในเขตมันซะ 555 อิชั้นไม่กล้าว๊ากแรงไปเพราะเป็นคนไทยอยู่คนเดียว ณ ที่นั้น เวลานั้น (แต่หลายหนนะเฟ้ย) ก็พ่นออกไปว่า อย่าคุยเรื่องแบบนี้เลย ไม่ยุติธรรมในหลายๆ แง่ ชาติบ้านเมืองของใคร-ใครก็รัก ประวัติศาตร์การบันทึกของแต่ละชาติก็ต้องว่าตัวเองดีตัวเองเก่ง เรื่อง ชาติ ศาสนา เป็นเรื่อง sensitive ถ้าคุยเรื่องแบบนี้กรูไม่คุยดีกว่า หลังๆ มันก็เพราๆ นานๆ เข้าก็ไม่ค่อยติดต่อกัน จริงๆ อยากจะโพล่งคำพูดจากใจออกไปว่า จ้า..พวกแกมันดี มันเริ่ด ถึงได้สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน จนต้องกลายเป็นคนอพยพไงจ๊ะ ฮี้ววว….

เมื่อไม่นานมานี้อีมี่ได้รับอีเมวจากเพื่อนเขมรตับดำของมัน (ลูกของเพื่อนเคยเลิ้บของอิชั้น) จริงๆ มันก็คุยกันบ้าง หลังๆ แม่ๆ ห่างๆ กัน ลูกๆ ก็เลิกคุยกันโดยปริยาย อีมี่ก็รู้สึกแปลกๆ มั๊ง เพราะส่งอีเมวหาอีเขมรตับดำนั่นกี่ทีก็ไม่ตอบกลับ คงจะเสียใจ น้อยใจมั๊ง เพื่อนที่เคยสนิทกันมากไม่ยอมตอบกลับ ก็บ่นๆ ตัดพ้อให้แม่ฟัง คุณแม่อย่างอิชั้น 5555 เก๋นะคะ ตอบลูกไปว่า ชั่งค่อตพ่อค่อตแม่มันเถอะลูก เพื่อนที่โรงเรียนก็มีเยอะแยะ ใครๆ ก็รัก อีเขมรดำปื้ดนั่นไม่พูดด้วยซะคนนึงจะเป็นไรไป She’s nothing to you จำใส่ใจไว้

อยู่มาวันนึง อีดำปื้ดนั่นส่งเมวมาถามอีมี่เรื่องดาวน์โหลดเพลงบนเน็ท ห้วนๆ ไม่มีหัว ไม่มีหาง อีมี่ก็ดีใจเพื่อนติดต่อมา ก็เลยอธิบายให้ลูกฟังว่า ถ้ามันไม่ต้องการประโยชน์ใดๆ มันก็ทรีตเราเหมือน nothing ขนาดมันต้องการความช่วยเหลือ คำแนะนำจากลูก มันยังห้วนไม่มีสกุลรุนชาติ ไร้มารยาทซะเหลือเกิน ให้ลูกอิกนอร์มันไป ไม่นานต่อมามันคงรู้สึกอะไรบ้าง ก็ส่งอีเมวมาหาอีมี่อีก 2 ประโยค ว่าที่ไม่คอยได้ตอบอีเมวเพราะ tired จบห้วนแค่นั้นตามระเบียบ กร๊ากกก…. เธอช่างสำคัญตัวเองผิดอย่างมหันต์ เธอมึงมิได้สลักสำคัญใดๆ ต่อชีวิตพวกกรูเล้ยยย… 555

ก็เลยบอกลูกว่ามันเหนื่อยมานาน 2-3 เดือนแล้ว 555 ก็เลยให้อีมี่ตอบไปว่า Hi, It’s OK! I’m fine. Don’t bother. ดูเหมือนตอนนี้ขาดกันโดยสิ้นเชิงมั๊ง 555 ไอ้เรื่องเส็งเคร็งของเด็กๆ ที่เล่ามา อิชั้นได้ถ่ายทอดให้พ่อบ้านฟังตลอด อิพ่อบ้านแขวะมากว่า You keep telling her – don’t let this sh*t bother her, but it’s bother you a lot hahaha 5555 เลยตอบไปว่า No, it’s not bother me at all…they’re just Cambodians! พี่ก๊อตของอิชั้นถึงกับฮาระเบิดเถิดเทิง คำพูดไม่กี่คำของอิชั้นมันช่างชัดเจนและให้ความรู้ตอกย้ำความความต่ำต้อยด้อยค่า ได้เจ็บปวดดีเหลือเกิน 555 ถ้าชาวขะแมร์ไหนๆ มาได้ยินเข้า 5555

จะพูดเรื่องขาวๆ ดำๆ ไหงกลายเป็นศึกระหว่างชาติพันธุ์ 555 Let’s get back to the point 555 เคยดูรายการ Independent Lens (broadcast on PBS stations) ตอน New Year Baby

เป็นเรื่องของเขมรอพยพที่มาอยู่เท๊กซัส ไม่ขอเล่าในดีเทล จริงๆ มันยาวมาก ประมาณชั่วโมงนึง แต่หาลิ๊งค์ให้ดูครบๆ ไม่ได้ จำได้ว่าตอนที่ดู เศร้า สาสารตอนที่เขมรแตกมากๆ แต่มีจุดนึงที่จำได้คือ ตาลุงคนเป็นพ่อเนี่ยพูดถึงว่าตอนที่โดนเขมรคอมมิวนิสต์บังคับจับคู่ให้ผัวเมียพวกชาวบ้าน คือทั้งจับแยก และจับคู่ให้ คือฝืนใจคนที่ไม่มีทางสู้ ทำลายสายพันธุ์ ตอนตาลุงนี่เห็นหน้าเมียแกบอกว่า โห..ดำ เหมือนคนชั้นต่ำ เกลียด แต่ก็จำทนเป็นผัวเป็นเมียกันมาถึงปัจจุบัน แกอธิบายว่า ไม่เคยรัก เพราะไม่ชอบคนดำ (แกเองก็ดำนี่หว่า 555) คนดำเป็นคนชั้นต่ำ จริงๆ มันคงเป็นมาตรฐานทางด้านความคิด stereotype ของคนทั้งโลก “รูปชั่ว-ตัวดำ” มันช่าง…ไม่ดี๊ไม่ดี

ที่อเมริกาถือว่าเป็นที่ที่มีคนหลายสี หลานเผ่าพันธุ์มาอยู่รวมกัน แล้วพยายามพูดเสมอๆ ว่าประเทศนี้ united ไม่ racist ขอบอกว่า ตอแหลมาก คนขาว คนดำ ไม่ได้ปนกันเป็นคนสีเทา ก็ยังแยกกัน เดียจสีผิว (คนเหลืองอย่างกรูไม่เกี่ยว 555) คนขาวก็จะบอกว่าคนดำชั่ว อาชญากร คนคุก ส่วนใหญ่ เป็นคนดำ มันก็จริง 555 คนดำก็ชอบบอกคนขาว racist มันก็เหมือนกันนั่นแหละว้า มึงไม่ใช่กู มึงไม่เหมือนกู มึงเลยเป็นคนชั่ว คิดเหมือนกันทั้งโลกแหละ

อิชั้นอยู่ที่บ้านนอกในเมกา (คนเอเซียมีน้อย majority ที่นี่เปลี่ยนไปจากเดิมเคยเป็น Caucasian ไม่นานมานี้ Hispanic หรือพวกเม๊กซิกันได้กลายเป็นชนกลุ่มใหญ่ในเขตนี้ไปเสียแล้ว ขยันทำลูกจนชนะ 555 แถมไอ้พวกนี้เป็นชนชั้นล่าง กรรมกร ชาวไร่ชาวสวน มันก็จะเหมาเอาว่าคนไทยสวยๆ อย่างดิชั้นก็คือพวกเดียวกับไอ้ม๊ง เขมร ลาว และเวียดนาม ที่อพยพมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ มันไม่รู้จริงๆ นะ ว่าประเทศของไอ้เอเชียพวกนี้อยู่ตรงไหนของโลก 555 คนเอเซียเหมือนกันไปหมดในสายตาพวกมัน) อิชั้นจึงเป็น “ของแปลก” หาดูได้ยาก สำหรับคนแถวๆ นี้ ไอ้เม๊กซิกันแถวนี้ก็มีหลายสี หลายเผ่า ขาวๆ สวยๆ พูดอังกฤษได้ ก็จะเป็นแบบไฮโซ กว่าไอ้พวกเตี้ยๆ ดำๆ หรือที่เรียกว่า “วาฮากา - Oaxaca (pronounced Spanicised as wahaca)” ซึ่งจะเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมดแถวนี้ พวกนี้ส่วนใหญ่หรือเกือบจะทั้งหมด (ไม่นับเด็กๆ ที่มาเกิดที่นี่) เป็นคนเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย ต้องรีบผสมพันธุ์ออกลูกออกหลาน “ให้ไว” จะได้กินสวัสดิการต่างๆ ของลูกที่ได้สัญชาติอเมริกัน แล้วใช้ลูกเป็น anchor เพื่อให้การ deportation ทำได้ยากขึ้นและดูเหมือนไร้มนุษยธรรม-พรากแม่พรากลูก แต่กฏหมายอเมริกันก็ค่อนข้างอ่อนเรื่องนี้ (และอีกหลายๆ เรื่องนิ) there’s a lot of loopholes ช่องโหว่เพียบ เลี้ยงกันไปเถอะนะ เตี้ยอุ้มค่อม-สานต่อโดย “ดำ” โอบาม่า 555

พล่ามจนหลงทางไร้หลักการณ์จริงวุ้ยกรู แต่ไม่หลงประเด็น ขอบอก เพราะพล่ามถึงเรื่อง ดำ และ เรื่องเขมร 5555 สรุปเข้าเรื่อง “ขาวดี - ดำชั่ว” ที่ไหนๆ ก็เหมือนกันไปหมด ใครๆ ที่อยากขาวก็เอาแต่พองาม รักตัวกลัวตายกันบ้างนะ เสียเงินแล้วยังต้องเจ็บต้องตายนี่ “บั๊ฟฟี่-ฟาย” มากๆ นะคะ

กมฺมุนา วตฺตตี โลโก

You reap what you sow.

I Dreamed a Dream

คลิก >>> คลิก >>> คลิก >>> ที่ลิ๊งค์สีฟ้าขีดเส้นใต้ 5555

เพราะเค้าล๊อค Embed เลยแปะแบบกด Play เลยไม่ได้ รูปนั่นก๊อปมาแปะเฉยๆ คลิกไปก็ไม่มีอะไร 555

(อันนี้มีหัวหาง ต้องดูนะ ห้ามข้าม)

http://www.youtube.com/watch?v=9lp0IWv8QZY&feature=related

ScreenShot008-1

(อันนี้เพลงล้วนๆ แต่เล่นแบบ HQ ได้ อย่าลืมคลิกที่ HQ ด้วยนะ)

http://www.youtube.com/watch?v=9z0h1NNk1Ik&feature=related

ScreenShot009-1

I dreamed a dream

เป็นเพลงหนึ่งใน Les Miserables

ร้องโดยตัวละคร ชื่อ Fantine ทั้งตกงาน และ ยากจนแร้นแค้น

There was a time when men were kind
When their voices were soft
And their words inviting
There was a time when love was blind
And the world was a song
And the song was exciting
There was a time
Then it all went wrong
I dreamed a dream in times gone by
When hope was high
And life worth living
I dreamed that love would never die
I dreamed that God would be forgiving
Then I was young and unafraid
And dreams were made and used and wasted
There was no ransom to be paid
No song unsung
No wine untasted
But the tigers come at night
With their voices soft as thunder
As they tear your hope apart
And they turn your dream to shame
He slept a summer by my side
He filled my days with endless wonder
He took my childhood in his stride
But he was gone when autumn came
And still I dream he'll come to me
That we'll live the years together
But there are dreams that cannot be
And there are storms we cannot weather
I had a dream my life would be
So much different from this hell I'm living
So different now from what it seemed
Now life has killed
The dream I dreamed.

เนื้อหาขอเพลงก็แบบละครบอร์ดเวย์แหละ เจ็บปวด ดุเดือด เจ้มจ้น 555

ไม่ใช่ อุ๊ย “โดน” อย่างแรงเหมือนชีวิตกรูเลย 555

ไม่ช่าย มะช่าย แค่อยากให้ได้ดูกัน ทีวี ข่าว สารพัดสื่อพูดถึงกันตลอด

เจ้แก่เจ๋งดี โปรดสังเกต เสื้อผ้า หน้าผม เด็ดขาดมากๆ ยูนีคที่ซู้ด… เปรี้ยวซะเยี่ยวราดเลย 55555

ไม่กล้าก๊อปเลย เพราะที่มีอยู่ก็ใกล้เคียงม๊ากมาก 5555

Mama-001

Wednesday, April 15, 2009

คัน คัน คัน คัน

อากาศบ้าๆ บอๆ เดี๋ยวอุ่นขึ้นมา 2-3 วันนี้เกิดหนาวเยือกขึ้นมาอีก ลมแรงมาก แถมบอกว่ามี dust storm อีก เป็นคนที่คันคะเยอมากมายกว่าใครๆ อยู่แล้ว เลยคันกันไปยกใหญ่ นอกจากคันด้วยโรคจิตที่อีมี่เอาเหาเข้าบ้าน พ่อ แม่ลูก เกา หัว หู หาง แก่กๆๆๆๆ หาอะไรชะโลมทาทั้งวี่ทั้งวัน ยิ่งอีพวก Body Lotion & Body Cream ของ Bath & Body Works ช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เข้าใจเอาเองมาตลอดว่าของพวกนี้ใช้โลชั่นหรือครีม-เกรด “กิโล” คือมีส่วนประกอบดีๆ อยู่ใน % ต่ำๆ จุดขายหลักคือ “กลิ่น” แฟนซีมีให้เลือกมากมาย และแพ๊คเกจน่าจะเป็นเรื่องรองๆ ลงมา ก็เลยไม่ค่อยได้ซื้อพวกโลชั่นหรือครีมยี่ห้อนี้มาเท่าไหร่ หนักไปทาง Liquid Soap, Bath Gel, Shower Gel และ Bath Foam มากกว่า แต่ก็ซื้อตอนเค้าลดแหลกเหลือขวดละ 2-3 เหรียญ เท่านั้น จริงๆ แล้วคนที่สนุกใช้คือลูกและผัว ตัวเองเป็นคนติดอ่าง 555 ติดอาบน้ำอ่างตั้งแต่เมืองไทยแล้ว 555 เพราะชอบแช่น้ำอุ่นจัดๆ เลยไม่ค่อยใช้สบู่ จะใช้สบู่ก็เฉพาะจุด จุด จุด คือ แถวง่ามๆ เท่านั้น 5555 ง่ามแขน ก็ จั๊กกะแร้ไง ง่ามขา ก็ รู้ๆ กันอยู่ 555

กลับมาเข้าเรื่องคันๆ คือไม่ใช้โลชั่นแฟนซียอดนิยมใด จะหาซื้อแต่แบบที่ rich มากๆ แต่กลิ่นต้องไม่ “อวล” หอมหึ่งมากมาย หรือ สาปสางเขียว ไม่มีกลิ่นเลยก็ดี ก็เลยใช้ไอ้ 4 ขวด (หลอด) รูปบนซ้ายมาตลอด แต่พอมันคันๆๆ แบบไอ้ครีม โลชั่น พวกนั้นเอาไม่อยู่ ทาจนมันเมือกแบบนั่งนอนไม่ได้ เดี๋ยวเลอะเปอะเปื้อน แต่แป๊บเดียวแหละ ผิวแห้งอีกแล้ว เลยไปซื้อไอ้ JOHNSON'S ® Baby Oil Gel with Aloe Vera & Vitamin E มาใช้ ใช้อยู่เกือบอาทิตย์แล้ว เรียกว่าเป็น my number one ตอนนี้เลย กลิ่นก็น่ารัก 555 เบบี้ดี แต่ใช้ยากนิดนึง บีบยาก มือไม้มันเมือก กลับไปจับขวดอีกบีบๆๆๆ ลื่นเหนอะ เลยเอาใส่ขวดปั๊มซะหมดเรื่องหมดราว สะดวกดี

คราวนี้มาถึงหนังกะบาล คันๆๆๆ อิ๊บอ๋าย ใช้แชมพู ครีมนวดอะไรก็ไม่หายคัน ทั้งคันโรคเรื้อนอยู่เป็นทุนมากมายแล้ว OLUX® Foam ยาที่ใช้ - ก็เป็น Class I steroid power เลยเชียว ยิ่งใช้ผิวยิ่งบาง แต่ก็ใช้มาเกือบ 5 ปีแล้ว (on & off) แล้วแพงโคตรๆ ด้วย (หลอดละ 100g ใช้ได้ประมาณ 2 สัปดาห์) co-pay 20% ต้องจ่ายประมาณ 70 เหรียญ ราคาเต็มสยองมาก ถ้าไม่มีประกันคงย้ายไปอยู่หมู่บ้านขึ้ทูตกุดถังนานแล้ว 5555 นอกเหนือจากใช้ไอ้โฟมราคาทองคำนั่นแล้ว ก็ใช้ไอ้ Scalpicin Maximum Strength สลับสับหว่างเรื่อยมา ไอ้นี่ซื้อได้ที่ drugstore ทั่วๆ ไป ราคาประมาณ 7 เหรียญ ตอนนี้คันหัวก็บีบๆ ทาๆ ยีๆ หนังกะบาล มันก็พอทุเลาแหละ ส่วนไอ้ Head & Shoulders soothing lotion ใช้แล้วไปไหนไม่ได้เพราะผมกังๆ แข็งๆ เวลาเกาๆ สางๆ ก็เป็นคราบขาวๆ ตุ๊เรดมากๆ มันก็พอทำให้ทุเลาหายคันลงบ้าง แต่ไม่ชอบเลย ส่วนไอ้กันแดดขวดทองนั่นเอามาแปะให้มันเต็มๆ กรอบรูปเฉยๆ เป็นกันแดดที่ชอบอยู่ตอนนี้

page-365

ลืมบอกไปวันนี้ตื่นมาจัดการไอ้รอมมี่ไปโรงเรียนเสร็จก็อาบน้ำแต่งตัวไปให้เค้าเจาะเลือด เสร็จรวดเร็วเกินคาด จบไปหนึ่งธุระ ตานี้มาดูรูปบุตรธิดากัน วันนี้อีมี่มีเกมส์ มันโทรมาตามให้ไปเชียร์ (โรงเรียนไอ้กันก็ดีงี้แหละ มีโทรศัพท์ให้เด็กๆ ใช้ฟรีๆ 555) วันนี้แข่งที่โรงเรียนมันใกล้ๆ บ้าน แดดแจ๋แต่ลมแรงมาก (แรงน้อยกว่าเมื่อวาน เมื่อวานน้องๆ พายุเลยแหละ) พอลงรถได้ลืมระวังตัว ปล่อยไอ้ตี้วิ่งเป็นนางแบบอิสระเสรีนิวฟรีด้อมเลย ไล่จับมันไม่ไหวเลยลากมันไปที่รถ จกเอารถเข็นมันออกมาแล้วล๊อคมันให้เป็น Dr. Hannibal Lecter อีก 555 แต่หนาวมากเลยต้องเอาผ้าห่มที่ติดไว้มนรถมาห่อมัน จริงๆ มีผ้าห่มนวมแบบเป็นถุงซิปติดรถเข็นเลยนะ รูดปิดเปิดสะดวก เพิ่งเอาออกไม่นานมานี้เอง เพราะเห็นว่าไม่หนาวแล้ว ดูมันทำกระพือเข้ากระพือออก

page-363

วันนี้ทีมของอีมี่เป็นทีมเหย้า HomeTeam แพ้อีกแล้ว 555 ดูไอ้ทีมโรงเรียน John Adams หน่วยก้านหนาแน่นกว่าเยอะ แถมเฟอร์นิเจ้อร์เพียบ 555 (อนาคตโรงเรียนใหม่ของอีรอมเค้าแหละ) พอตอนแยกย้ายกันกลับเค้ามีทำแถวแบบ “รีรี ข้าวสาร” ให้ทีมเหย้ามุดกลับเข้าไปใน duct out น่ารักดี จากนั้นทีมอีมี่ต้องวิ่งรอบสนาม 5 รอบประจารให้เพื่อนๆ ที่โรงเรียน “โห่” เป็นการลงโทษ ที่เจือกแพ้ 555

page-362

ดอกกุดาบ จ้า ดอกกุดาบ 555 บ้านนี้กุหลาบเยอะ แต่สุขภาพห่วยมา แมลงลง มีต้นนึงดอกสีม่วงอ่อน ม่วงจริงๆ นะ ไม่ใช่ชมพู ดอกดกมากๆ เวลาตัดไอ้กุหลาบบ้านนี้ปักแจกันก็ต้องล้างแช่น้ำอยู่นานเพื่อเอาไอ้แมลงทั้งหลายออก ส่วนแจกันล่างซ้ายนั่นเป็นรูปเก่า ดอกกุหลาบชุดนั้นจากบ้านเก่า มีสีม่วงเข้ม สีแดงเดือด สวยๆๆๆๆ

page-364

Tuesday, April 14, 2009

Annual Physical Check-Up

จริงๆ เริ่มไปหาหมอตั้งแต่ปลายๆ กุมภาฯ แล้วแหละ เพราะตอนนั้นรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว นอกเหนือไปจากอ้วนใหญ่ยักษ์แล้ว ก็นอนไม่ค่อยหลับ difficulty sleeping, tired of being tired, constantly thirsty and craving for sweets. พอไปหาหมอ ก็พอดีกับถึงเวลาต้องเช็คอัพประจำปี คุณหมอดำปื้ดก็ส่งต่อให้ไปที่ศูนย์… เพื่อไปเจาะเลือดและเก็บฉี่ไปตรวจ แล้วเค้าก็จะส่งผลกลับมาที่โรงบาล

หมอพูดอะไรก็ “เชื่อง” แหละ ทำตามอย่างว่าง่าย พอวันนี้ไปตรวจจริง (5555 มีเผาจริง เผาหลอก 555 เพราะหมอด๊ำดำเธอแค่สกรีนหยาบๆ แล้วก็จ่ายยานอนหลับให้ไปซื้อหามาแด๊ก พอกินเข้าไปหลับเป็นตาย ง่วง drowsy ไปอีก 18 ชั่วโมง ม่ายหวาย ม่ายชอบ กินไปคืนเดียว เลิกรากัน) หมอวันนี้เป็นป้อจาย brunette ตาสีฟ้า….ซะ หลอปานกลาง ได้คะแนนความเป็นหมอบวกเข้าไปอีก เลยหล่อโคตรๆ ชื่อ บักคาน Karl 555 ตรวจถี่ยิบ แหกหูแหกตา เกาขี้กลากดูอย่างทั่วถึง ยืน นั่ง ก้ม เงย บิด ซ้าย ขวา หน้า หลัง ดั๊นไม่ให้วิดพื้นกระโดตบซะด้วยเลย 555 แต่ให้เลิกคิ้ว หลิ่วตา เป่าปาก แก้มป่อง ซ้ายทีขวาที แล้วก็บอกว่า ริ้วรอยร่องลึกบนหนังหน้ายังไม่มี - ดีใจกี๊สๆ เย้… แต่ สิว ฝ้า กระ ตรึม 5555

พอพี่แก “เฉลย” ผลเลือด ผลฉี่ ให้แซบบบ…. ก็จุกเลย 5555

ฉี่เหมือนจะเป็น UTI - Urinary tract infection หรือ ท่อทางเดินปัสสวะ (ปัดสวะ) อักเสบ ถามอยู่นั่น ฉี่ถี่บ่อย เจ็บปวด หรือสีสันสวยงามปกติหรือไม่ คำตอบก็คือ ปั๊กกะติ๊ดีค่า อีหมอก็ทำสีหน้ากังวล เพราะผลออกมาไม่ค่อยดี เลยแย๊บๆ ไปนิดว่า ตอนไปเก็บฉี่น่ะ เพิงหมด ปจด. มีผลอ๊ะป่าวคะคุณหมอขา… ก็เลยบอก it could be…blah blah จบเรื่องฉี่ซะที

เลือด เลือด ข้าต้องการเลือด…ไม่ได้เป็นปอบผีฟ้าหรอก แต่ เสือกเป็น Anemic - Iron deficiency anemia มะเล็ดเกล็ดเลือดแดงต๊ำต่ำ หมอคานเลยบอกให้ไปหาเก็บเศษเหล็กกิน 555 ถ้าไม่สะดวกก็ให้ไปซื้อ ธาตุเหล็ก (Ferrous sulfate is used to treat iron deficiency anemia.) มารับทานซัก 6 เดือน พอฟังแล้วก็ สิ-ฮาก-เด้อ ยาเชี่ยนี่ กินแล้วอยากอ้วกแตก มันระคายเคืองกระเพาะอาหาร แล้วห้ามกินยานี้กับผลิตภัณฑ์นม รู้ดีรู้จริง เพราะเป็นคนที่โลหิตจาง (ต่ำ) อยู่เรื่อยๆ on & off มาตลอด แล้วโรคทรัพย์จาง-รักษาได้ป่าว หมอคาน

ผลเลือดที่อยากรู้มากๆ อีกอัน ก็ออกมาให้สมหวัง คือ เบาหวาน จ้า เบาหวาน เลขที่ออออกกกกก….126 หลัง fasting is no good… เลยต้องมีการไปเจาะเลือดตรวจละเอียดมากกกก…อีกครั้ง ว่า ต้องกลับมากินยากดเบาหวานหรือปล่าว เซ็งว่ะ

ผลอีกอันที่รู้อยู่แก่ใจ คือ ไขมันในเลือดสูงแบบน่าห่วง ถึงไม่สูงปี๊ด แต่ผลคลอเรสเตอรอล และ ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Cholesterol, LDL, HDL, and Triglycerides) ก็ดูไม่ค่อยดี หมอคาร์ลบอกว่าน่าจะควบคุมได้เองยังจะไม่จ่ายยาให้ แต่ไม่บอกตัวเลขมา-ให้หมออู๋ได้วิเคราะห์เองบ้าง กลัวแย่งอาชีพ 555 แต่สั่งงด ลด ละ เลิกอาหารมัน กิน fish oil เพิ่มด้วย และ ออกกำลังกายมั่ง…อีอ้วน 555 แต่พอเราบ่น..อิชั้นอ้วนจะตายห่าแล้วหมอ พี่คาร์ลก็บอก โน๊ โน่ ยู ลุ๊ค เกรท….กรูเนี่ยนะ Great หรือ Great Dane กันแน่วะ

ท้ายสุด สุดท้าย คือ โรคขี้เรื้อน 5555 Psoriasis พี่คาร์ลก็ เปิดผม หัว หู เกาขี้กลากดูใหญ่ 555 ขอดู ข้อศอก หัวเข่า (ไม่ขอดูหัวหน่าว 555) และตาตุ่ม แล้วก็บอกดูดีนี่ under control ควบคุมได้ (ห่า) ไรวะ คัน เกา หิมะร่วง น่ารังเกยจ ทั้งปีทั้งชาติ ทำหน้าเซ้งตดให้หมอดู แกหลงกลก็เลยเขียนใบสั่ง OLUX Foam ให้ 5555 ตานี้ก็ไม่ต้องไปหา Dr. Hoffmann 555 แพงอิ๊บอ๋ายเลยแหละ Dermatologist คนนี้แพงมาก คลีนิคเธอหรูมาก เหมือนไปเที่ยวภัตาคารญี่ปุ่นหรูๆ งามโพด เข้าไปแล้วหนาวเลย บรรยากาศสูบเลือดมากๆ ยิ่งไปนั่งรอแล้วมองคนไข้คนอื่นๆ แล้ว belittling เหลือเกิน แค่ที่ลานจอดรถก็ทุเรศมากๆ โตต้าเน่าๆ ฝุ่นเขรอะของอิชั้นดูโดดเด่นเลยแหละ เพราะเค้าขับกันแต่รถพื้นๆ กัน พวก เล็กสัตว์ แจ๊คกว่า เมอเซดีส บีมเม่อร์ 5555 แถมเอี่ยมอ่องส่องแสงกันซะด้วย อยากจะไปจอดอีก 3 บล๊อคแล้วเดินไปเลย 555 สรุปไม่ไปหาแม่นางแคธลีน ฮ๊อฟแมนน์ อีกแล้ว 555 แล้วเธอก็ไม่ค่อยยอมให้ฟาร์มาซีโทรไปรีฟิลใบสั่งยาด้วย ชอบฝากบอกผ่านไปให้เพเชี่ยนแวะมาตรวจดูดีฝ่า เชอะ บิลๆๆ แอนด์ อะนัตเต้อบิล รู้ทันหรอกจ้า

page-326รูปนี้ตั้งแต่เดือนก่อน ไอ้ตี้อาละวาดในรถ ผมยังยาวทั้งพี่ทั้งน้อง

ก่อนที่จะร่ำลาหมอคาน หรือ พี่คาร์ล ก็บอกให้ทำนัดให้บุตรธิดามาเช็คอัพซะด้วยเที่ยวหน้า เพราะไอ้ก๊อตตี้ดูเหมือน allergy คุกคามมัน ขอบตาแดงๆ แล้วจะรีเฟอร์ไปให้พบกับ Speech Therapist ด้วย ส่วนอีมี่ดูแข็งแรงกระบือถึกดี แต่ก็มาเช็คๆ ให้เสร็จๆ ซะ แล้วคุณแม่อย่าลืมไปแวะให้แดร๊กคูล่าเจาะเลือดด้วยนะกั๊บ

ลืมบอกไปว่าวันี้ไม่ได้ไปกับไอ้ตี้ ตัว-ตัว หรอก เพราะเมื่อวันจันทร์ โทรไปบอกรพ. ว่า ไปตอน 9 โมงครึ่งไม่ได้ อยากไปตอนบ่าย เสียงตามสายบอกว่า โอเค พอวันนี้ก็เลยไปรอรับอีมี่ที่สีแยก แล้วก็บึ่งไปซื้อแม๊ดโดเน่า ให้ลูกๆ กินในรถ พอไปถึงก็เอาไอ้ตี้ออกจากรถเอามันมัดติดไว้กับรถเข็นแบบ Dr. Hannibal Lecter เลย 555 มันเลยไม่ได้ออกมาอาละวาด น่าฉงฉานมากๆ พอพยาบาลเข้ามาวัดความดันแม่…ไอ้ตี้ร้องไห้น้ำตาไหลพราก กลัวแม่ตาย ๆๆๆ พอพยาบาลนั่งซักประวัติ กินยาไรอยู่ แพ้ยาไร บลาๆๆๆ มาถึงมีลูกกี่คน เค้าหันไปมองลูกๆ ของอิชั้นแล้วก็กรอกฟอร์มไปว่า 2 boys 555 อีมี่เห็นแล้วโกรธ แม่เลยติติงไปว่า 1 หญิง 1 ชาย ค่า เค้าก็ขอโทษขอโพยใหญ่ แล้วก็บอกว่าผมเผ้าท่าทางเหมือนบอยมากๆ ขอโทษนะคะ 5555

page-361

วันนี้ไม่ต้องรอนานมาก ไปถึงโรงบาลเกือบ บ่าย 2 ออกมาตอน 3 โมงครึ่ง รวดเร็วเกินคาดมากๆ เลยแวะเอาอีมี่ไปโยนที่โรงเรียนให้ซ้อมซอฟท์บอล แล้วขับรถไปซื้อขนมน้ำดื่มมานั่งรอลูกในรถจะได้กลับบ้านพร้อมๆ กัน ตอนอีมี่ลงรถแล้วแม่ออกรถ ไอ้ตี้ ชักดิ้นชักงอ หวีดร้องจะไปหาพี่มันใหญ่ พอซื้อเป๊บซี่ให้แด๊ก…หายโมโหเป็นปริดทิ้ง พอถึงบ้านถามอีมี่หิวป่าว จะอบแซลม่อนให้กิน จะกินป่าว ทำเงียบๆ ไม่สน ห่วงเล่นเกมส์ เลยถามไปอีก จะกิน Salmonella (ไข้รากสาด) หรือปล่าว มันรีบตอบรำคาญตัดมาว่า YES Mom! กร๊ากกก…. จะไปคุ้ยขยะทำให้มันกินดีมั๊ยเนี่ย 5555

Monday, April 13, 2009

Easter & Breakfast in the Garden

5555 จั่วหัวซะ …ให้ความรู้สึกงดงามสวยหรู จริงๆ ไม่มีอะไรหรอก สก๊อตต์ได้หยุด 3 วัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็เลยไม่ทำมาหากินอะไร eat out กันให้ล่มจมไปตามระเบียบ 555 (พูดเว่อร์ๆ ไปงั้นเอง ส่วนใหญ่แล้วก็กินโฟรสเซ่นพิซซ่าเป็นหลัก เพราะกำลัง “ฮิต” 5555) พอดีกับมีโรงแรมและร้านอาหารเปิดใหม่ในเมืองได้ซัก 2-3 วีคแล้วแหละ ครอบครัวเราก็เลยต้องพากันไป “เจิม” ให้เค้าซะหน่อย 5555 ร้านนี้ชื่อ Black Bear Diner อยู่ด้านหน้าของโรงแรมเล็กๆ ใหม่เอี่ยมในเครือ Marriott – Spring Hill Suites วันนั้นร้านยุ่งๆ คนเยอะ ร้านใหญ่โตโอ่โถงดี ตกแต่งคล้ายๆ โชคชัยสเต๊กเฮ้าส์ที่ปากช่อง

page-360

ร้านอาหารใหม่ พนักงานก็ใหม่ ยังเซ่อๆ ซ่าๆ กันอยู่เยอะ 555 แต่ก็มีพนักงานเสิร์ฟที่ “โปร” หน่อย มากู้ภัยสลับฉากอยู่เรื่อยๆ พวกที่โปรหน่อยก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะเคยได้พบได้เจอกันจากร้านอื่นๆ มาก่อน บอกแล้วว่าเมืองมันเล็ก อิชั้นกับลูกสาวเรียกว่าเป็นเซเล็บประจำตำบลยังได้ เพราะเป็นสาวไทย 2 คนที่สวยที่สุด 5555 ก็มันมีคนไทยอยู่แค่ 2 คนมั๊ง 5555

page-356

อาหารที่สั่งวันนั้นก็จานใหญ่โคตรๆ ตามสไตล์ไอ้กัน เหลือให้ห่อกลับมาตรึม ค่าเสียหายวันนั้นก็ 48.95 เหรียญ ทิปอีกต่างหาก ลืมไม่ได้ดูว่าอีก๊อตทิปไปเท่าไหร่ ปกติก็ประมาณ 15-20% ของราคาอาหารแหละ

page-357

พอวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันอีสเต้อร์ พอตื่นมาก็ตกลงกันว่าไม่ไปไหนกันหรอก เบื่อหน่าย อยู่บ้านกันเงียบๆ ดีกว่า พ่อพาลูกไปเล่นหลังบ้าน เป่าฟองบั๊บเบิ้ล (ของโปรดของลูกๆ เลย) คุณแม่ก็เอาไข่พลาสติกสีสวยปล่าวๆ ไปซ่อนให้ลูกหากัน ที่ต้องเป็นไข่ปล่าวๆ ไม่มีแคนดี้ใดๆ ยัดไส้เลย เพราะไอ้ตี้ฟันไม่ดีแถมไม่ค่อยยอมกินอาหารอะไร จะกินแต่ขนม พูดเรื่องไอ้ตี้กินยากแล้วเซ็งมาก

page-358

ปกติจะพาลูกไป eggs hunting ตามโบสถ์ หรือไปบ้านเพื่อนลาว ผู้ใหญ่เมาตามปกติ เด็กๆ เป็นโขลงก็กินขนมกันจนพุงแตก ปีนี้ขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แม้แต่ญาติๆ ก็เถอะ พอเล่นสนุกกันเสร็จก็บ่นหิว คุณแม่อู๋ก็เลยไปจัดการอาหารเช้าหรูหราประมาณภัตตาคาร เพราะมีพวก Potato ทั้งหลาย Scalloped potatoes, Country fried potato, แล้วก็ Hash browns เหลือ leftover มาจากร้านหมีดำเมื่อวันก่อนบานเบอะ แถม Pancake & Biscuits อีกแบะแบน ก็ขนออกมาอุ่นแล้วก็อบ frozen linguisa sausage กับ bacon เลี้ยงลูกผัวที่สวนหลังบ้าน แล้ววันนั้นอากาศดีมาก มีแดด ฟ้าแจ่มใส ไม่หนาวแล้วและก็ยังไม่ร้อน ประมาณ 68F

(Linguiça is a type of sausage which comes from Portugal. It is also known as linguica or linguisa. The sausage is distinguished by a mildly spicy flavor tempered with a smoking process which makes the sausage flavorful and tender. Linguiça can be found in soups and breads, and it is also used for things like sandwich fillings.)

Thanks > > http://www.wisegeek.com/what-is-linguica.htm

page-359

พอบ่ายๆ พ่อก็พาลูกๆ ไปดูหนัง Monsters VS Aliens แวะซื้อกับข้าวกับปลามาให้ทำอีก เมื่อวานก็เลยผัดเนื้อน้ำมันหอยใส่แอสพารากัส เป็นมื้อค่ำ จบไปอีกวัน

Monsters-vs-Aliens-poster

ส่วนเรื่องย้ายบ้าน - สรุปว่าย้ายแน่นอน 1 มิถุนายน แหวะๆ แค่คิดก็เหนื่อยรากเลือดแล้ว

พรุ่งนี้ต้องไป Annual Physical Check-up กับท่านตี้ตามลำพัง แค่คิดก็ปวดตับแล้ว เพราะโรงบาลที่นี่ เรื่อง “รอ” คือปัญหาหลักๆ รอๆๆๆๆ 3-4 ชั่วโมง ถ้าป่วยนิดๆ ก็รอจนมะเร็งคุกคามเลยแหละ มะเร็งในอารมณ์น่ะ แถมไปกับไอ้ตี้ด้วย พรุ่งนี้เผลอๆ โรคเอดส์บุกด้วยเลย เพราะมันนิสัยไม่ดี๊…ไม่ดี ดีว่าเป็นเช๊คอัพที่ general เฉยๆ ไม่ต้องไปเปิดโม๊ะโชว์ ไม่งั้นต้องนุ่งชุดกระดาษ ครั้งก่อนไอ้ตี้ดึงทึ้งให้วุ่นวาย ขาดวิ่นหลายสิบผืน แม่มันก็รู้ดีไง พอขาดก็แอบไปเปิดเอาที่ใต้โต๊ะตรวจออกมาเปลี่ยนใหม่อยู่นั่น (เสือกให้แก้ผ้ารอเป็นนานสองนานนิ) เรียกว่าพอหมอตรวจเสร็จถังขยะเค้าเต็มแน่นเอี้ยดเลยแหละ ยิ๋งทดยัดซ้า… 5555 สมน้ำหน้าเน๊าะ แต่หมอโม๊น่ะจ่อคิวอยู่ 555 กลางเดือนหน้าเจอกัลล์ 555 (ลืมเล่าไปว่า เมื่อ 2 วีคก่อนได้ไปที่โรงบาลให้เค้าสูบเลือดไป 3 หลอด กับ ฝากฉี่ไปให้ตรวจอีก 1 โอ่ง 555 พรุ่นี้ก็ไปฟังผลอันนี้แหละ แล้วก็อื่นๆ อีกนิดหน่อย)

dogattack

ส่วนเรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองที่เมืองไทย ก็คอยติดตามความคืบหน้าเสมอ ได้แต่หวังว่าให้อะไรลงเอยด้วยดีโดยเร็ว แต่ดูแล้วคงจะไม่ง่าย มันก็จะเข้าอีหรอบ “มึงชนะกูไม่ยอม” อยู่เรื่อยไป ไม่ใช่ว่าอยู่ไกลบ้านเกิดเมืองนอนจะไม่ทุกข์ใจนะ ไอ้เรื่องทุกข์ใจกับประเทศชาติบ้านเมืองมันก็อยู่ในระดับหนึ่ง แต่อันดับต้นๆ ในหัวใจ คือ ความอยู่รอดปลอดภัยของคนในครอบครัว อยู่ไกลกันเหลือเกิน คิดถึงแล้วก็เป็นห่วงมาก

Saturday, April 11, 2009

ข่าวดี หรือ ข่าวไม่ค่อยดีวะเนี่ย ต้องย้ายบ้านอีกแล้ว

สับสน โมโห เหนื่อยหน่าย เซ็งตด ไปเลยแหละ ไม่มีใครเจ็บใครตายหรอก แต่ต้องย้ายบ้านอีกแล้ว เรื่องของเรื่องคือ Godfather หรือ “พ่อทูลหัว” ของลูกทั้งสองคนเค้าซื้อบ้านหลังใหม่ เค้าอยากให้ครอบครัวเราไปเช่าบ้านหลังใหม่ของเค้า อีซะมีดีใจกิ๊บกิ้วมากมาย เพราะเป็นเพื่อนรักเพื่อนเกลอกันมาโกฏปี ไอ้คนเป็นเจ้าของบ้านก็อยากหาคนที่ตัวเองรู้จักดีมาเช่าบ้านตัว-ใช่ป่าว ส่วนอิชั้นนั้นไอ้จะดีใจมันก็ดีใจแหละ แต่ย้ายบ้านนี้ 6 เดือนยังไม่เรียบร้อยเลย พออยู่ได้ก็อยู่กันไป ตู้เตียงยังอยู่ในโรงรถ ข้าวของยังอยู่ในกล่องในถุงดำอีกเพียบ ต้องย้ายอีกแระ คราวนี้ไม่ง่าย เพราะ บ้านหลังนี้ที่เช่าอยู่ต้องแจ้งเค้าล่วงหน้า 60 วัน นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่บ้านของเพื่อนผัวนั่น เราจะขอไม่จ่ายค่าเช่าเดือนแรกที่อยู่ในระหว่างขนของจะได้หรือปล่าวไม่รู้ ถ้าไม่ได้มันจะกลายเป็นต้องเช่าบ้าน 2 หลังขณะที่ขนย้าย ตอนนี้จอห์น (เพื่อนเลิ้บของอีก๊อต) กำลังปรับปรุงซ่อมแซมบ้านหลังที่ว่ารอรับพวกเรา เพื่อนก็เพื่อนเถอะนะ ไม่มีอะไรฟรีหรอก ขนาดพ่อแม่ลูก หรือพี่น้อง ฝรั่งมันยังไม่ค่อยจะยอมกันเลย ไม่เหมือนคนไทยหรอก พอเป็นคนในครอบครัวหรือเพื่อนซี้ น้ำก็ท่วมปาก to difficult to say NO 555

ก็ได้บอกอีก๊อตไปว่า คนเรายิ่งรักกันมากก็น่าจะ keep distance หน่อยนะ เพราะเดี๋ยวใกล้ๆ กันก็จะชังกันซะนี่ (บ้านหลังที่ว่า จะเรียงติดกัน 3 หลังเลย หลังแรกบ้านจอห์น หลังที่สองบ้านลูกสาวจอห์น แล้วก็บ้านที่จะให้เราเช่าเป็นหลังที่ 3) แต่ก็เข้าใจผัวตัวเองอ่ะนะ คือ ไม่สบายใจบ้านที่เช่าเค้าอยู่ มีต่อสัญญา มีขึ้นราคา ถ้าราคาบ้านดีแล้วเกิดอยากขายขึ้นมา จะมาไล่เฉดหัวเราออกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ (ตอนนี้ก็ให้อิชั้นหมั่นถามเพื่อนที่เป็น realtor หรือชื่อใหม่ของ real estate agent ว่าเมื่อไหร่เราจะซื้อบ้านได้ คำตอบที่ได้มาคือ 2 ปี) ตานี้อีก๊อตคิดว่าน่าจะอุ่นใจกว่าถ้าไปเช่าบ้านเพื่อนรักอยู่ แถมเป็นพ่อทูลหัวของลูกด้วย อะไรก็ช่างเถอะ ที่หนักใจก็เรื่องขนย้ายนั่นแหละ จะย้ายแบบทีละถุงทีละกล่องอย่างเดิมไม่ได้ ที่ผ่านมาก็แทบอ้วกเป็นเลือดอยู่คนเดียว ไม่ใช่เป็นง่อยเปลี้ยเสียขาตรงไหนหรอก ผัวทำงาน 7 วัน อิชั้นกระเตงลูก 2 คน ต้องหากินหาอยู่ ต้องวิ่งรับวิ่งส่ง ขอบ่นหน่อยเถอะ มันหนักหนานะ ถึงอีก๊อตจะคอยไปยกตู้เตียง (มาเก็บในโรงรถ) ตอนตี 1 ตี 2 น่ะ ก็รู้ว่าเหนื่อยหนักไม่แพ้กัน แต่บ้านก็ยังไม่ลงตัวเข้าที่เข้าทาง แล้วยังโดนคนเชี่ยๆ มา judge อยู่บ่อยๆ ว่าทำ (ห่า) ไรอยู่ ย้ายไม่เสร็จซะที ไม่ได้มีโคตร (ดีๆ) เป็นขโยงให้จิกหัวมาช่วยนี่หว่า พูดแล้วเซ็งๆๆๆๆ สรุป คือ ย้าย

เปลี่ยนเรื่องดีกว่า เซ็ง…. มาดูรมณีย์กับกิ๊บหูที่หนูรักยิ่ง 5555 เดี๋ยวนี้จะออกจากบ้านทีก็ต้องมีหูคู่ที่สองติดกะบาลไปด้วย สะใจมันมากมาย แม่ยกน้าป๊อบอยากดูรูป 555 ต้องขอบคุณคุณน้องๆ คุณเพื่อนๆ ที่เป็นตุ๊ระวิ่งวุ่นหาซื้อมาฝากมัน รอมมี่ฝาก “ขอบคุณค่ะ” มาตรงนี้ด้วยนะคะ ตอนนี้หยุดสปริงเบรค เปิดเรียนอังคารโน่น มันจะแย่อยู่แล้ว เพราะอยากติดไปโรงเรียน อยากไปอวดเพื่อนๆ ส่วนตุ้มหูน่ารักทั้งฝูงนั่น ต้องคอยบอกให้ถอด เพราะมันจะใส่อาบน้ำด้วยเรื่อยเลย กลัวมันพังน่ะ

page-353

อันนี้เป็นรูปเมื่อเช้านี้ ยอดคุณแม่ดู “โบตั๋นกลีบสุดท้าย” ทั้งคืน ไม่ได้ตื่นมาหาอาหารเช้าเลี้ยงลูกๆ เลยเป็นหน้าที่ของอีพ่อ 555 เห็นเสียงดังโครมครามโหวกเหวกยังก๊ะตลาดสด เลยลุกมาดู อีมี่บ่น Scramble Eggs ของแด้ดดี้ไม่อร่อย 555 จะมาสู้ของแม่ได้ไงเน๊าะ แม่เล่าเรียนมาจาก Le Cordon Bleu เชียวนะเว้ย (โม้ให้ลูกงง) แค่อยากจะให้ลูกรู้ว่าแม่น่ะเป็นเชฟมีครูนะเฟ้ย 5555 ส่วนรูปล่างขวาน่ะ อีแด้ดดี้ขับรถแม่แล้วลืมเอาแว่นตัวเองมาด้วยใส่แว่นแม่อีกแล้ว 5555 ขำดี ไอ้ชม้อย 555

page-355

ดอกไม้ท่วมบ้าน กุหลาบเต็มสวนหน้าบ้านหลังบ้าน ตัดมาปักแจกันแทบจะวันเว้นวัน กำลังกลุ้มใจเพราะเพลี้ยลง ใบหงิก ดอกหงิก กันหมด ยังนึกว่าจะไป Home Depot ซื้อยาฆ่าแมลงมาฉีด พอรู้จะต้องย้ายก็ถอดใจ ช่างหัวมัน กุหลาบที่นี่ดอกใหญ่ยักษ์ดี พูดเรื่องดอกไม้ก็นึกถึงอีเจ้าของบ้านแลนด์หลอด Landlord เป็นอีป้า 60 อัพ เดี๋ยวก็บอกเอเจนซี่ให้แจ้งเราจะมาตัดแต่งต้นกุหลาบ จะนั่นจะนี่อยู่เรื่อย เอเจนซี่ต้องขออนุญาตแล้วก็แจ้งให้เรารู้ก่อนไง อย่างน้อย 7 วันล่วงหน้า แล้วอีแลนหลอดก็เลื่อนเข้าเลื่อนออกอยู่นั่น ตอนนั้นก็ปลายๆ หน้าหนาว กอแดฟฟอดิล กับกอทิวลิปแทงขึ้นมาเพียบ ดอกตูมๆ ออกมาร่วมร้อยได้ อีหลอดแลนแลนหลอดก็มาดึงดอกไปโม้ดดดดด…. เหลือแต่ใบเขียวๆ ให้ดูเท่าทุกวันนี้ แค้นมาก เลยตัดดอกกุหลาบมันให้เกลี้ยงซะเลย 5555

ส่วน Baby Red Carnation นั่น คุณสก๊อตต์ซื้อมาให้เมื่อคืนนี้ รู้ว่าคุณเมียชอบดอกไม้ ซื้อมาให้เรื่อยแหละ ถ้าแวะซื้อของตอนดึกๆ แล้วเห็นมันลดราคา รู้ดีไปหมดและวันไหนร้านไหนดอกไม้ใหม่สดมาลง ล๊อตเก่าเค้าก็ลดราคา ครอบครัวนี้ ชี๊บ ชี๊บ cheap cheap 5555 พอจะจัดดอกไม้หาแจกันไม่มี อยู่ลังไหนไม่รู้ ที่ๆ มีอยู่ก็เตี้ยไปบ้าง เล็กไปบ้าง ปากบานไปหน่อย เลยเอาใส่โหลกาแฟซะเลย 5555 ตอนนี้ดอกไม้เต็มบ้าน ถ่ายในครัวไม่สวยเพราะ wallpaper ดอกดวงโหดมาก เลยต้องลากมาถ่ายบนปริ้นเต้อร์ 555 ดูฝีมือจัดดอกไม้ซะก่อน อีก๊อตขำกร๊ากกกก… ทุกที มันบอกว่าฝีมือ flower arrangement สวยหรูงามเริ่ดแบบนี้ ระวังพวก florists จะมาแย่งซื้อตัวกัน 5555

page-354

Wednesday, April 8, 2009

รูปเล่าเรื่อง

รูปที่เกมส์ของอีมี่เมื่อวันศุกร์ก่อน พอพ่อมันเห็นรูปก็ชมเปราะว่าลูกหน่วยก้านดี พอเล่าให้ฟังว่าตีลูกถูกแค่ครั้งเดียว อีก๊อตขำใหญ่ But her posturing looked like a “PRO” HaHaHa ถ่ายตอนมันตีลูกด้านหน้าไม่ได้ ดูตูดมันไปก่อนนะ เพราะต้องบุกไปที่ duct-out ของทีมคู่ต่อสู้ ไว้คราวหน้าจะหา shot สวยๆ มาอวด

page-346

อันนี้เป็นรูปกองเชียร์-ไอ้ตี้ ง่วนอยู่กับปากมันแหละ มันชอบแกะดึง “ติ่ง” ริมฝีปากบนตลอดเวลา ตีมือ เอาสีผึ้งทา สารพัดจะทำกัน ก็หยุดมันไม่ได้ แล้วดูเวลามันนั่งรถเข็นดิ มันต้องดึงทึ้งไอ้ที่บังแดด เดี๋ยวกาง เดี๋ยวหุบ ดีนะที่รถเข็นของมันเป็น Maclaren ซึ่งหาความสวยงามไม่ได้เลย แต่ “อึด” มาก จะเห็นว่าไอ้ตี้มีรูปนั่งในรถเข็นมันอยู่บ่อยๆ บางทีก็สงสารลูกนะ เวลาไปมอลล์หรือไหนๆ พอลงจากคาร์ซีท ก็ไปนั่งรถเข็น ออกจากรถเข็น กลับไปนั่งคาร์ซีทอีก (เป็นวงจรที่น่าสงสารมาก car seat >> stroller >> car seat) ที่ต้องเป็นอย่างนั้นเพราะมันฤทธิ์เยอะ ถ้ามันเป็นอิสระ แม่ม…วิ่งซ่าน เพ่นพ่าน ไล่จับไม่ทัน ขนาดมันนั่งในรถเข็น ถ้าเข็นไปใกล้ๆ อะไรมันก็ดึงทึ้งข้าวของเค้าล้มระเนระนาด โดยเฉพาะราวเสื้อผ้า ของโปรดเลยแหละ ถ้าไม่ใกล้ขนาดดึงทึ้งของเค้าได้ มันก็จะเอา “ตีน” ถีบ เกี่ยว เตะ ไปไหนมีอายตลอด โอ้ย พูดแล้วอยากวิ่งไปตีมัน 5555

page-347

พ่อมันซื้อรถให้ไอ้ตี้อีกแล้ว วันแรกๆ งอแงซะ ไม่ยอมออกจากรถ จะต้องออกไปไหนก็ไม่ยอมออกจากรถ 3 รูปบนน่ะ ถ่ายในความมืดนะ ปิดบ้านปิดไฟให้มันไปนอน มันก็ไม่ยอม มันก็ “ขับ-ถีบ-ยัน” รถมันไปเรื่อยๆ ซอกเล็กซอกน้อย มันก็เข้าไปจนได้ พอพ่อมันมาลากมันออกจากรถ ร้องซะจนกลัวข้างบ้านเรียกตำรวจ จนต้องยอมเอารถมันไปไว้ข้างๆ เตียง ให้มันอุ่นใจ 5555

page-348

รูปชุดนี้ถ่ายในร้าน A&W (+ Long John Silver’s คือ 2 ยี่ห้อ ในร้านเดียวกัน) ไอ้ตี้วิ่งซนตลอดเวลา ไม่ต้องกงไม่ต้องกินกันเลยแหละ พี่ไล่จับ พ่อไล่จับ มันเลยสนุกใหญ่ อายเค้ามาก สุดท้ายไอ้พ่อโมโหแตก ไอ้ตี้เจอฟาดเปี้ยงนอกสถานที่เข้าให้ 5555 รู้ซะมั่ง ว่าไปไหนๆ กะไอ้ตี้น่ะ ไม่ง่าย จ้า ไม่ง่าย (รูปบนซ้ายกับพี่มันน่ะถ่ายในครัวที่บ้าน)

page-349

รูปวันอุ่นๆ ที่หลังบ้าน ไอ้ตี้วิ่งหนีไป “ปลีกวิเวก” รู้ๆ กันอยู่ 555 มันไป doing BIG JOB 555 แล้วทำเป็นเด็ดดอกไม้แก้เก้อ 5555 อีมี่ก็ไปเล่นซนเหมือนกัน ขนข้าวของออกไปมากมาย พอเลิกเล่นแล้วไม่เก็บ เลยมีด่ากันอีก-ตามระเบียบ ส่วนไอ้ตี้บนโต๊ะคอมพิวเต้อร์ มันดู Thomas the Train บน YouTube มันต้องปีนป่ายดูแบบใกล้ชิดติดลูกกะตา คลิกโน่นนี่ ซนจริงๆ แล้วไอ้โต๊ะนั่นน่ะ antique น้าาา… 555 เป็นโต๊ะนักเรียนโบราณของยายไอ้ก๊อต จะหักก็เพราะคุณเหลนซะละมั๊ง 555 บ้านนี้เฟอนิเจ้อร์ดูอนาถดี แฮะ 5555 อีผัวก็อยากซื้อแหละ ตู้โต๊ะคอมพ์อันใหม่ แต่อิชั้นไม่ยอม บ้านรกจะตาย อะไรมีๆ อยู่ก็เอามาใช้ให้หมดนิ

page-350