Friday, November 30, 2012

I was caught in the very bad traffic caused by gas line rupture on Highway 99



วันนี้ตื่นแต่เช้าตามปกติเหมือนกับวันที่ลูกๆ ต้องไปโรงเรียน แต่วันนี้ต้องพาลูกบึ่งไปเฟสโน่ เพราะทั้ง 2 คนมีนัดทำสะอาดฟันประจำ 6 เดือน ส่วนอิชั้นเองอาจต้องถูกถอนฟันทิ้ง 1 ซี่ ตั้งใจว่าจะไปต่อรองเก็บฟันซี่นั้นเอาไว้ เพราะทั้งรักษารากฟันและทำคราวน์ครอบไว้แล้ว หมดไปหลายแล้วนิ แต่มันปวดๆ หายๆ อยู่เรื่อยๆ หมอส่งต่อไปสเปเชี่ยลิสต์ endodontist ซึ่งสรุปว่ารากฟันแง่งนึงเกิด root fracture ไม่ควรเก็บไว้ ฮ่วย ....โอ้ย.... กูก็ว่ากูเนี่ยดูแลรักษาสุขภาพฟันดีทีเดียว ที่จะไปต่อรองกับหมอคือ ไม่ถอน แต่จะทนปวดๆ หายๆ ได้อีกซักแค่ไหน หรือถ้าถอน ทำครอบเป็น bridge แล้วประกันจะยอมจ่ายหรือปล่าว เท่าไหร่ อย่างไร สรุปว่าประกันจะยอมจ่ายส่วนนึง แต่ยังไม่ทราบจะนวนเงินที่แน่นอน หมอจัดการพิมพ์ฟันไว้ เผื่อทำสะพานฟัน แล้วก็ถอนฟันเจ้าปัญหาออก ลูกๆ ก็ทำสะอาดฟันแบบ deep clean กัน ไอ้ตี้ฤทธิ์เยอะ ยุ่งยากกว่าก่อน ทั้งต่อต้าน ทั้งต่อรอง และคำถามบาน.... หมอและผู้ช่วยคงเซ็ง

ไปดูข่าวตรงนี้ค่ะ http://abclocal.go.com/kfsn/story?section=news/local&id=8904603







พอออกมาจากร้านหมอ ก็ถามลูกๆ ว่าหิวมั๊ย ส่ายหน้าทั้งคู่ เพราะโดยโปะแปะฟลูออไรด์ gunky fluoride เคลือบฟันไว้ จากหนืดๆ แล้วกลายเป็นฟิล์มเคลือบแข็งๆ เลยยังไม่อยากกินกัน ปกติหมอจะบอกห้ามกินหรือดื่มอะไรๆ ภายใน 45 นาที พอลูกบอกไม่หิว อิชั้นก็ฮ่อออกมาที่ฟรีเวย์หวังว่าจะกลับถึงมาเดร่าโดยเร็ว เอาลูกๆ ไปส่งโรงเรียน และตัวเองจะได้รีบไปทำงาน ขับอยู่บนฟรีเวย์ คุยกับลูกๆ ฟังเพลงคริสตมาส (ยังไม่ทันเบื่อ 555) ทันทีทันใดก็ต้องเบรคโครม..ม..ม... รถติดหนึบ ค่อยๆ ขยับ ไปจนถึงนิ่งไม่ขยับ นานนนน......มาก แถวนี้ไม่มี จส100 ด้วย (เค้าคงมีแหละ..แต่ไม่เคยฟัง) เลยกูเกิ้ลดูว่าเกิดอะไรขึ้น โอ้ย.... มันเกิดท่อก๊าซแตก ท่อก๊าซระเบิด อะไรประมาณนั้น บริเวณ Avenue 12 ซึ่งขณะนั้นอิชั้นและลูกๆ อยู่ที่ Avenue 7 ก็ค่อยๆ กระดึ๊บ อยู่เป็นนาน สองนาน กว่าจะถึง Avenue 9 ซึ่งแยกตรงนั้นมีทางออกที่ไป รพ.เด็ก ซึ่งอิชั้นคุ้นเคย ตั้งใจว่าจะออกตรงนั้นแล้วขับอ้อมโลกกลับบ้าน ลืมบอกไปว่าฝนตกหนักบ้างเบาบ้างตลอดทางค่ะ และที่แย่ที่สุดคือปวดฟันมากกกกก.... ปวดแบบอยากร้องไห้เลย เพราะยาชาเริ่มหมดฤทธิ์ the anesthetic was wearing off น้ำดื่มก็ไม่มีซักขวด เลยกินยาแก้ปวดที่พกประจำก็ไม่ได้ แงๆๆๆๆ ปวดๆๆๆๆ

พอถึงแอเวนู 9 ก็เป็นรถตำรวจปิดกั้นห้ามผ่านฟรีเวย์ ถึงได้รู้ว่า ...แฮ่ ...มิน่าล่ะถึงได้ขยับเขยื้อน ไม่ได้ เพราะเบียดกันเข้าทางเลี่ยงนี่เอง ต้องอธิบายก่อนว่า ฟรีเวย์-99 หรือชื่อเป็นทางการคือ US 99 เป็นถนนสายหลักที่สำคัญและยาวมากๆ ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ดังนั้นจะมี 18-wheeler รถบรรทุก รถใหญ่รถยักษ์ รถเล็กรถจิ๋ว รถห่ารถเหว เยอะแยะหนาแน่น ที่เยอะที่สุดคือ 18-wheeler และ convoy ซึ่งปกติก็ทำให้รถกระป๋องอย่างอิชั้นห่อเหี่ยวมากๆ เวลาเข้าไปอยู่ใกล้ๆ แต่ๆๆๆ แต่วันนี้ อิชั้นต้องไปเข้าแถว ปิดหน้า ปิดหนัง บังซ้าย บังขวา รอบล้อมไว้ด้วยสิงห์รถบรรทุก เวลาขับตามปกติเจอพี่ใหญ่บนถนนก็อึดอัดจะแย่แล้ว พอกระดึ๊บ กระดึ๊บ หยุดๆ อยู่ท่ามกลางฝูงรถยักษ์ ....กู...อยาก...ตายยยยย..... ในบรรยากาศที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เราอยู่ที่ไหน จะไปที่ไหน เมื่อไหร่จะถึง ฝนก็ตก แล้วก็ปวดฟันบางตายอีก ลองคิดดูละกัน เฮ่อ.... จอดนิ่งในสายฝน มองไปข้างหน้ารถเข้าแถวสุดลูกหูลูกตา มองไปข้างหลังก็ รถ รถ รถ รถเป็นร้อยๆ จอดนิ่งเป็นแถวจนสุดสายตาเหมือนกัน


คราวนี้พอมาถึง แอเวนู 9 ก็เบี่ยงเข้าแถวตามๆ พี่ใหญ่เค้าไปเรื่อยๆ เข้าป่าเข้ารกแบบไปไหนไปกัน รถตำรวจที่อำนวยความสะดวกคอยบอกทาง Detour ก็มีเห็นไม่กี่คัน (ถ้าเจ้าหน้าที่ทำงานแบบนี้ที่กรุงเทพฯ ตายแน่ รถติดไปถึงสุไหงโกลก แหงๆ 555) ไอ้พวกที่เบี่ยงมาด้วยกัน ร้อยละ 99 ก็ไม่รู้หรอกว่าถนนที่ตามๆ กันมาจะไปโผล่ที่ไหน อย่างไร เพราะพวกนี้เค้าขับข้ามรัฐ เค้าไม่รู้ถนนหนทางตามเรือกสวนไร่นาแถวนี้หรอกค่ะ แล้วไอ้ทางที่เลี่ยงไปกันก็เป็นสวนผลไม้ ไร่นา (แถวนี้เป็น farmland ทั้งนั้นค่ะ) ดูเวิ้งว๊าง เหมือนกำลังหลงทาง แล้วยังติกแง่กไม่ขยับอีก อยู่นิ่งๆ แบบนั้นนานมากกกกก..... อิชั้นทนไม่ไหวเลยกลับรถขับย้อนศร คาดว่าเป็นการตัดสินใจถูก


แต่ๆๆๆ ขับปรู๊ดๆ ยอนขบวนเค้ามาถึงสะพานข้ามฟรีเวย์ มองลงไปที่ฟรีเวย์โล่งทั้ง northbound และ southbound ไม่มีรถซักคันบนฟรีเวย์ พอข้ามสะพานมาได้ รถบรรทุกและรถอื่นๆ เป็นร้อยๆ เข้าแถวกันแง่กอยู่ สรุปว่าไม่ว่าจะไปทางไหนก็สภาพเดียวกันหมด เพราะรถทั้งขาขึ้นขาล่อง ขาเข้าขาออกจากฟรีเวย์ ร่วมหมื่นคันต้องเลี่ยงออกมาจากฟรีเวย์ ถนนซอกซอยไหนๆ รถก็เต็มไปหมด อิชั้นก็ต้องลัดเลาะตามเค้าไป กว่าจะวนเข้าเมืองมาเดร่าได้ คืบคลานไปจนถึง แอเวนู 15 (ไม่เห็นในรูปค่ะ) แล้วถึงหาทางกลับเข้าเมืองได้ ขับรถ (เลีย) เบรค จนขาจะเป็นง่อย เลื้อยไปมาอยู่ 2 ชั่วโมงครึ่ง ระยะทาง 20 กว่าไมล์ น้ำมันหมดไปเกือบๆ ครึ่งถัง ดีว่า Gas Fairy เติมน้ำมันให้เมื่อคืนจนเต็มถัง ทีแรกตั้งใจว่าจะขับไปถึงเฟสโน่แล้วขากลับถึงจะแวะเติมน้ำมัน แต่พ่อบ้านเห็นว่าต้องตื่นแต่เช้าแล้วพาลูกๆ ไปหาหมอฟัน เลยเอารถไปเติมน้ำมันให้ ไม่อยากนึกเลย ...ถ้าเมื่อเช้าออกจากมาเดร่าด้วยน้ำมัน 10% ของถัง ตาย ตาย ตาย ....


ทำแผนที่ให้ดู เส้นแดงคือที่ส่วนที่เค้าปิดการจราจร ห้ารถผ่าน ประมาณ 12 ไมล์ค่ะ เพราะสาเหตุ Gas line rupture shuts down Highway 99 in Madera County ส่วนเส้นสีเขียวคือ actual detour route ที่อิชั้นและลูกๆ ขับกลับบ้านวันนั้น เส้นสีม่วงคือ virtual detour route เส้นทางที่เรารู้สึกหรือเพ้อเจ้อไปเอง เพราะมันช่างเนิ่นนาน ทุกข์ทรมานเหลือเกิน 55555

Thursday, November 15, 2012

My Journey with Humira: Delivery Service

วันนี้มียามาส่งที่บ้าน อยากให้ดูแพจเกจ หีบห่อ มันช่างสิ้นเปลืองและก่อมลพิษต่อโลกเหลือเกิน เคยจะเม้าเรื่องนี้นานแล้ว พอเค้ามาส่งคราวนี้ อิชั้นเป็นคนเซ็นต์รับไว้เอง เลยถามไปว่า.. "นี่ๆๆ แก จะเอากล่องเก่ากับข้าวของเครื่องแช่ทั้งหลายกลับไป รียูส รีไซเคิ่ล หรือ รีๆ ข้าวสาร มั๊ยแก" มันยิ้มมาพร้อมกับส่ายหน้า โน-แต่ง-กิ๊ว ... อิชั้นก็เลยเดินหัวฟูกลับเข้ามาเปิดกล่อง เพราะจะรีบเอายาแช่ตู้เย็น แกะไป ก็ยั๊วะไป เลยถ่ายรูปมาให้ดูกัน
 Humira Delivery
เปิดกล่องออกมา เจอกล่องโฟม เปิดกล่องโฟม เจอถุงลมโป่งพอง ใต้ถุงลมโป่งพอง เจอถุงไอ๊ซ์แพ๊ค (Extra Cold Gel Ice Pack) ใต้ถุงไอ๊ซ์แพ๊ค เจอแผ่นเป๊าะแป๊ะ ใต้แผ่นเป๊าะแป๊ะ เจอถุงซิป ในถุงซิป เจอกล่องยา ใต้ถุงยา เจอแผ่นเป๊าะแป๊ะกันกระแทกอีก ใต้แผ่นเป๊าะแป๊ะ เจอถุงไอ๊ซ์แพ๊ค ใต้ถุงไอ๊ซ์แพ๊ค เจอถุงลมโป่งพองอีก ...โอ้..แม่เจ้า อิชั้นเก็บเรียงไว้ให้อย่างเรียบร้อย สามารถนำไปใช้ได้เลย
แต่เรื่องหยูกยาที่นี่มันบ้าบอมากค่ะ คือทุกๆ คนต้องเซฟตัวเอง บริษัทยาก็ต้องเซฟตัวมันด้วย กฏเหล็กของเค้าก็คือ อะไรที่ออกไปจากจุดจำหน่าย ร้านยา คือหลุดจากมือคนที่รับผิดชอบแล้ว ถ้าผิดพลาด ไม่ถูกต้อง หรือเป็นที่ไม่ต้องการ ผู้บริโภคนำกลับไปคืน ไปเปลี่ยนล๊อต ไปรีฟันด์ ไปห่าเหวอะไรก็แล้ว เพียงแค่ออกไปจากจุดๆ นั้น ลับตาเจ้าหน้าที่เพียง 1 นาที เค้าก็เอาไปทิ้งเลยค่ะ ถูกแพงอย่างไรก็เหอะ ทิ้งแม่งโลดดดด.... เพราะเค้ากลัวว่าจะถูกปนเปื้อน contaminated เพราะคนแปลกๆ ชั่วๆ มันมีอยู่ทั่วไป เอาไปขี้รดตดใส่ ทำอุบาทว์อย่างไร...ใครจะไปรู้ เอาไปจัดสรรให้คนอื่นเค้ากินแล้วป่วย ง่อย ตายห่าตายโหงไป บริษัทยา หมอยา ก็ต้อง ship หาย ตายตกตามกันไปอีก เพราะประเทศนี้..เรียกได้ว่า sue country มันมีคนที่ซูเป็นอาชีพเยอะมาก หาเลี้ยงชีพด้วยการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย และซูไปได้ซะทุกเรื่อง
roche

ทั้งหมดที่เล่าไปคงพออธิบายให้เข้าใจได้ว่า..ไอ้กล่องบ้าบอที่อิชั้นเก็บไว้ เค้าไม่กล้าเอากลับไปใช้ใหม่หรอกค่ะ บริษัทยาก็บริษัทนึง บริษัทแพ๊คก็บริษัทนึง บริษัทขนส่งก็บริษัทนึง บริษัมจัดส่งก็อีกบริษัทนึง การเอากล่องกลับไปมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ไปถึงต้นตอ ค่าจัดการอาจแพงกว่าการซื้อของใหม่มาใช้ อิชั้นจะเก็บกล่องโฟมไว้แจกกับข้าวญาติโยมแถวนี้ละกัน เดือนละกล่อง ปีนึงก็ครบโหลพอดี จะเก็บเอาไว้ไปซื้อกับข้าวกับปลา..ก็คงไม่เวิ๊ก เพราะกล่องกระจุ๋งนึง ที่นี่แพ๊คหมูหมากาไก่..มันช่างมโหฬาร ปกติช่วงหน้าร้อน อิชั้นต้องใช้คูลเล่อร์ใหญ่ใส่ท้ายรถเวลาไปซื้อกับข้าว เพราะระยะ 30-40 ไมล์ กับอุณหภูมิร้อยกว่าๆ เนื้อสัตว์แทบเน่า ผักต่างๆ ดูไม่จืดเหี่ยวเฉามาในรถเลยค่ะ ก่อนออกจากบ้านก็เอาพวกไอ๊ซ์แพ๊คใส่ในคูลเล่อร์ซัก 3-4 แพ๊ค เวิ๊กค่ะ แต่ก็ต้องรีบไปรีบมานะ อย่าเผลอไปแต๋นที่ไหนนานๆ เพราะไอ้พวกไอ๊ซ์แพ๊คเนี่ยมันไม่ “เย็น-แข็ง” ฟอ-เอ๊ฟ-เว่อ ค่ะ ไม่คงกะพันเหมือนดรายไอ๊ซ์ แค่นานกว่าน้ำแข็งปกติหน่อยนึง

แต่ไอ้ถุงไอ๊ซ์แพ๊คเนี่ย บ้านนึงจะต้องการซักกี่ถุงกัน เพราะต้องเก็บไว้ในฟรีซเซ่อร์ มันกินที่นะคะ ก่อนที่อิชั้นจะต้องใช้ยาฉีด Humira ตัวนี้ ก็ไม่เคยใช้บริการ special delivery แบบนี้ ถุงไอ๊ซ์แพ๊คเก่าที่มีอยู่..จะขนาดบึ้มกว่านี้มาก มีเก็บไว้ใช้อยู่ 4 ถุงแล้ว เอามาจากที่ทำงานของพ่อบ้านค่ะ จากนี้ไปไอ้พวกถุงจ้อบจิ๊บที่มากับยา (ขนาด 8” x 6” หนักซัก 1 กิโลได้) คงต้องหาทางเอาไปทิ้ง ยังนึกไม่ออกว่าจะทำยังไปดี เซ็งว่ะค่ะ ไม่รู้มันมีอันตรายต่อสภาพแวดล้อมหรือปล่าว การกิน ดม ดูด เข้าไปคงไม่ตายหรอก เพราะเค้าเอามาใช้ส่งพวกอาหารและยาได้ ชิมิชิมิ

จากข้างบนคงจะทำให้มองภาพรวมๆ ออกว่า ทำไมราคายาที่ถึงแพงมากมายเหลือเกิน มัน ridiculously expensive เลยนะคะ อย่างยาที่อิชั้นใช้ฉีด หลอดละ 40 มล. เดือนละ 2 หลอด ราคาท้องตลาดน่ากลัวโคตรๆ ไปดูราคาเป็นไอเดียที่ตรงนี้ ขอบอกไว้ก่อนว่า ราคาที่เอามาให้ดูเป็นของแคนาดา ซึ่งไอ้กันจะนิยมสั่งซื้อกัน เพราะราคาถูกกว่าในประเทศ http://www.pharmacychecker.com/compare-drug-prices-online-pharmacies/Humira-40+mg&2520.8+ml/52616/116248/
แต่อิชั้นโชคดี จากปกติที่ บ.ประกันจะจ่ายรักษาพยาบาล ค่ายา ให้ 80% จากบิลเต็มๆ เรารับผิดชอบแค่ 20% สำหรับยาตัวนี้ หมอของอิชั้นต่อรองกับ บ.ประกัน อยู่หลายเดือน ให้อิชั้นทดลองใช้ยาหลายตัว กว่าประกันจะยอมให้ใช้ยาตัวนี้ คือเค้าจะมีตารางการใช้ยาสำหรับรักษาแต่ละโรค ใช้ยา A อาการไม่ดีขึ้น ถึงจะอนุญาตให้ใช้ยา B ใช้แล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ถึงจะยอมให้ใช้ยา C ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะยาที่นี่ส่วนใหญ่โคตรแพง (เคยทำงานบริษัทยายักษ์ใหญ่อยู่หลายปี พอทราบเหตุผลและที่มาที่ไปอยู่บ้าง เมื่อ 2 ทศวรรษก่อน มีสองบริษัทยายักษ์ใหญ่ร่วมกันปั่นราคายา ลงเอยด้วยการถูกฟ้อง จ่ายค่าปรับเป็นพันล้าน เน๊อะๆๆๆ) กลับมาที่ฮิวมิร่ากับอิชั้น ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ $2,200.-/เดือน (2 โดส) บ.ประกันคิดคำนวนยังไงไม่รู้ ไม่ยอมจ่าย 80% คือหักลบแล้วอิชั้นต้องจ่ายเอง $836.-/เดือน ถ้ามีเงินเหลือเฟือขนาดนั้น อิชั้นจะยอมเกาขี้เรื้อนแล้วเอาตังค์ไปผ่อนรถในฝัลลลล์ ..ไม่ดีกว่ารึ 555
  abbottlabs

พอเห็นตัวเลข co-pay ที่อิชั้นต้องจ่าย ก็ร้อนรุ่มกลุ้มใจ คุยกับหมอ แกๆๆๆ ชั้นไม่ใช้หรอกมันแพง หมอก็แนะนำให้ติดต่อบริษัทยา เพราะเค้ามี Patient Protection Plan (มะช่ายบักโอบาม่าแคร์นะยะ อันนั้น ถ้าไม่ทำงานทำการ ไม่ต้องเสียภาษี งอมืองอตีนกินอยู่ฟรี หยูกยาหาหมอก็ฟรี คนทำงานก็เสียภาษีกันจนหลังอาน ค่าหมอค่ายาก็ขูดจนเลือดกระฉูด บ้าบอมาก มันสนับสนุนให้คนขี้เกียจ เอาภาษีคนทำงานงกๆๆ ไปเลี้ยงดูปูเสื่อพวกไม่ทำงาน) พอโทรคุยกับบริษัทยา (Abbott Laboratories) จัดการกรอกข้อมูลตามที่เค้าแนะนำ สุดท้ายท้ายสุด co-pay เพียงแค่เดือนละ $5.-ค่ะ เอวัง...ด้วยประการฉะนี้...แหละ โยมมมมมม

sleep,drug,sleep




Tuesday, November 13, 2012

It's Beginning To Look A Lot Like Christmas

ฟังเพลงคริสต์มาสมาได้ 2 อาทิตย์แล้ว คือได้ยิน ได้ฟัง แบบยัดเยียด จากสือต่างๆ รอบๆ ตัวในชีวิตประจำวัน วิทยุในรถ โทรทัศน์ และตามห้างร้านต่างๆ รู้สึกว่ามันเร็วไปนิด อะไรกัน...เดี๋ยวนี้ต้องฟังเพลงคิดสะมาดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเริ่มต้นเลยเชียวหรือ มันก็เพราะดีนะ raise Christmas Spirit กันตั้งแต่เนิ่นๆ เลย ฟังกันไปจนถึงคืนวันที่ 25 ธันวา ...ร่วมๆ 2 เดือน นี่มันนานไปหน่อยนะ แรกๆ ก็เพราะ สเนาะหูดี เพราะไม่ได้ยินมานาน.....มาก แต่ฟังทุกวัน ชักเอียน... สิฮาก โหยหาเพลงอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คิดสะมาด 555 ทุกๆ ปีคืนวันคริสต์มาสเค้าจะเริ่มเปิดเพลงปกติทั่วๆ ไป มันให้ความรู้สึกที่ ฮรี้วววววว.....มาก

แรกเริ่มเดิมทีที่มาอยู่บ้านนอกแห่งนี้ ทุกๆ ปีในคือวัน Thanksgiving ครอบครัวจะมารวมกัน กินดินเน่อร์ไก่งวงมื้อใหญ่ ธรรมเนียมปฏิบัติ (สากลหรือไม่ ไม่ทราบ แต่ส่วนใหญ่..เค้าทำกัน) คือ การช่วยกันตั้งต้นคริสต์มาส ช่วยกันตกแต่งประดับประดา กันในคืนวันนั้น ค่ำวันนั้นสื่อต่างๆ ก็จะเริ่มเปิดเพลงคริสต์มาสกัน พอกินกันเสร็จก็จะได้ยิน แยกย้านกันกลับบ้าน ใครบ้านมัน ก็จะเริ่มได้ยิน ได้ฟัง เสียงเพลงคริสต์มาสในรถ ในทีวี อะไรต่ออะไรก็ว่ากันไป

ส่วนตัวของอิชั้นเอง ชอบเทศกาลต่างๆ ในช่วงนี้ วันหยุดเยอะ ลูกๆ ได้อยู่บ้าน ร้านรวงสวยงาม อากาศหนาวเย็น ยิ่งมีตังค์ก็ยิ่งดี เพราะช่วงนี้เป็นช่วงจับจ่าย ใช้เงินมากกว่าปกติ เด็กๆ คาดหวังของขวัญชิ้นใหญ่ๆ ที่ใต้ต้นคริสต์มาส (บ้านเราไม่ได้ตั้งต้นคริสต์มาสมา 3 ปีติดกันแล้วค่ะ เพราะหลายๆ เหตุผลค่ะ แต่ปีนี้สัญญาว่าจะไม่ขี้เกียจ 555 จะเอาออกมาตั้งสุดสัปดาห์นี้เลย) 

มาคุยต่อเรื่องเพลงคิรสต์มาสกันค่ะ คือปกติจะเริ่มเปิดกันในคืนแต๊งส์กีฟวิ่ง ไปจนถึงคืนวันคริสต์มาส คือ 1 เดือน เป็นเช่นนั้นมานานโข จนมาถึงปี 2001 ซึ่งเกิดเหตุการณ์ "9-11" เครื่องบนชนตึกทวินทาวน์เวอร์ มีคนเสียชีวิต บาดเจ็บจำนวนมาก คนอเมริกันถูกครอบคลุมไปด้วย โทสะ โมหะ ความโกรธแค้น เจ็บปวด สูญเสีย เศร้าโศก หวาดกลัว ฯลฯ เรียกรวมๆ ง่ายๆ ว่า Down แบบโคตรๆ หลายๆ สื่อก็ออกมาบอกว่า เราจะเล่นเพลงคริสต์มาสกันตั้งแต่เนิ่นๆ เลย เริ่มมันตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกาเลย เพื่อปลุกจิตวิญญานของอเมริกันชนให้รื่นเริงครื้นเครงเช่นเดิม (เป็นอย่างนั้นติดต่อกันอีก 2-3 ปีได้ จากนั้นก็กลับไปเป็นปกติ เอ๊... ไง๋ ..ปีนี้เริ่มกันแต่หัววัน หัวเดือน (พฤศจิกายน) อีก ชักสงกะสัย)

เอ๊ะ... อะไรวะ คิดไรกันวะ (ยิ๋งทด คำรามในใจ) เมิงจะบ้ากันเหรอ เปิดเพลงคริสต์มาสเพื่อ raise spirit จะบ้าเหรอ ช่วงแต๊งส์กีฟวิ่งถึงคริสต์มาส..เป็นช่วงที่อเมริกันฆ่าตัวตายมากที่สุด (สถิติจากไหนจำไม่ได้ ได้อ่าน ได้ดู ได้ฟังมาจริงๆ นะ ไม่ได้คิดเอาเอง สาบาน สาลี่ ขอให้เธอกินขี้ ขอให้ฉันกินข้าว 5555) เพราะเป็นช่วงที่ส่วนใหญ่เครียดเรื่องการจับจ่าย การรวมญาติ การเตรียมตัว การเสแสร้ง การสวมหน้ากาก (คือรวมญาติ นานทีปีหน จะเจอกันพร้อมหน้า เราต้องดูดี เสื้อผ้า หน้าผม ลูกผัว ต้องเริ่ด ของขวัญที่เตรียมไปต้องเจิด ซื้ออะไรให้ใคร จะดีพอมั๊ย กระจอกไปหรือปล่าว แล้วคนนั้นให้อะไรดี เดินทางไปรวมญาติ ค่าใช้จ่ายเพียบ บัตรเครดิตเต็ม ล้น เอ่อ เงินไม่พอ โอ้ยยยยย......เรื่องเยอะ จินตนาการเอาเองเถอะ ทุกอย่างเครียดค่ะ คนรวย มีอันจะกิน money is not matter ไม่เครียดค่ะ 5555)

เพลงคิดสะมาด มันเลยเป็นได้ทั้ง บวกและลบ คนชั้นกลางๆ ล่างๆ ต่ำเตี้ย ก็ผะอีดผะอมกันไป  ครอบครัวเราจัดอยู่ใน category นั้นด้วย อิชั้นเคยบ้าคลั่งเครียดแบบนั้นมาแล้ว หลังๆ สบายหน่อย เพราะตายไปหลายคนแล้ว 5555 ป่าว...ล้อเล่น เพราะครอบครัวเราสัญญาตกลงกันว่า เราจะให้ของขวัญเด็กๆ เท่านั้น พี่ ป้า น้า อา อินลอว์ ไม่ต้องให้กัน อิชั้นก็เลยมีแต่ซื้อของให้ลูก 2 คน กับหลานชาย 1 คน จบ เสร็จ สบายไป

แค่ฟังเพลงคริสต์มาส พล่ามได้ยาวเช่นนี้เลยนะกรู 555555

It's Beginning To Look A Lot Like Christmas lyrics

It's beginning to look a lot like Christmas

Everywhere you go;

Take a look in the five-and-ten, glistening once again

With candy canes and silver lanes aglow.

It's beginning to look a lot like Christmas,

Toys in every store,

But the prettiest sight to see is the holly that will be

On your own front door.

A pair of hop-along boots and a pistol that shoots

Is the wish of Barney and Ben;

Dolls that will talk and will go for a walk

Is the hope of Janice and Jen;

And Mom and Dad can hardly wait for school to start again.

It's beginning to look a lot like Christmas

Everywhere you go;

There's a tree in the Grand Hotel, one in the park as well,

The sturdy kind that doesn't mind the snow.

It's beginning to look a lot like Christmas;

Soon the bells will start,

And the thing that will make them ring is the carol that you sing

Right within your heart.

It's beginning to look a lot like Christmas,

Toys in every store,

But the prettiest sight to see is the holly that will be

On your own front door.

Sure it's Christmas once more.