Sunday, April 24, 2011

Frugal Mama….มากินเนื้อราคาถูกกัน

ตอนนี้น้ำมันแพง อะไรๆ ก็แพงตามไปด้วย เมื่อวันก่อนไปจ่ายตลาด ยืนเลือกซื้อเนื้อวัว…ก็ได้แต่ถอนหายใจ เฮือกๆ ทำไมมันช่างแพงอย่างนี้ อย่าไปพูดถึงพวก premium cut หรือ เนื้อคุณภาพดีๆ ที่ลายพร้อย ราคาก็โหดแบบรับทานไม่ลง ปอนด์ละ 7-10 เหรียญเป็นอย่างต่ำ เค้ามีดีๆ เริ่ดๆ ออร์แกนิค (ด้วย 555) แพ๊คกะจ๊อยนึง 30-40 เหรียญ แหลกม่ายลง 555 วันนั้นก็เลยซื้อเนื้อ Round Eye Roast (เนื้อสะโพก) ซึ่งเหนียวหนึบ ไร้ไขมัน ส่วนมากเค้าจะเอามาปรุงอาหารที่ใช้เวลาปรุงนานๆ เพื่อให้เนื้อนุ่ม สุกแล้วเป็นริ้วๆ เส้นๆ ร่วนๆ ค่ะ ถ้าเอามาแกงมาผัดก็ต้องหั่นตัดลายเนื้อ & a little more love 555 มันจะได้ไม่เหนียว แพ๊คที่ซื้อ หนัก 5.44 ปอนด์ๆ ละ 3.99 ถือว่าถูกเพราะเราซื้อจากร้านค้าขายส่ง Costco ค่ะ (แอบเอาราคาเนื้อจาก butcher ทั่วๆ ไปมาให้ดูด้วยค่ะ)

Premium Lean Ground Beef..…..$4.99
Ground Round…………………..…..…$5.55
Stew Meat……………………….…..….$5.99
Minute Steaks………………..………..$5.99
Top Boneless Round Steak……….$5.99
Brisket…………………………….…..…..$5.99
Flank/Skirt Steak...……………….…$8.29
Chuck/Arm Roast…………………..…$5.59
Pikes Peak/Rump Roast……………$5.89
Sirloin Tip Roast………………….……$5.89
Inside Round Roast……………….…$5.89
KC Strip Roast……………………….…$8.79
Standing Rib Roast………………....$9.99
Kebob Meat………………………...…..$5.99
Sirloin Steak…………………………..…$7.49
Eye of Round Roast…………….…...$5.89
Ribeye Steak……………….…….....$12.99
T-bone Steak……………..…………..$14.39
K.C. Strip Steak………………..…...$12.49
Filet……………………………….………..$19.99
Short Ribs……………….……………....$3.10
Heart/Liver/Tongue….………...…..$2.99
Soup Bones……………..………..………$2.79

page-665

พอซื้อเนื้อมาแล้วก็เอามาล้างสะอาดตามปกติ ต้องโม้ก่อนเลยว่ามีดบ้านนี้คมแบบน้องๆ Scalpel เลย 555 ใครได้ มาจับ มาหั่น แล้วต๊กกะใจทุกราย ทำไมมีดบ้านนี้โค๊ม…คม (ไม่งั้นปั๋วจะหงอเหรอ ….พ่อบ้านเค้าเกรงใจอิชั้นตะหาก 555) เริ่มแรกก็ตัด เลาะ เอาผังผืด และไขมันที่เป็นปื้นๆ ออก แล้วหั่นเนื้อตามลายยาวๆ ของเนื้อค่ะ อิชั้นแบ่งใส่ถุงเอาไว้ 4 ชิ้นขนาดพอดีๆ เอาไว้ปิ้งย่างทำยำเนื้อค่ะ พอย่างแล้วเอามาหั่นก็จะได้หั่นตามขวางตัดลายเนื้อแบบฉับๆ ไปเลย จะได้เคี้ยวง่ายๆ ไม่เหนียวหนับ (เล็บเหลืองเพราะทาเล็บติดต่อกันเป็นเวลานาน แต่ไอ้เนื้อที่เหลืองๆ นั่นเป็นเพราะอะไรไม่รู้ค่ะ เชื้อแอนแทรกซ์มั๊ง 555555 มองตาเปล่าไม่เห็น แต่พอถ่ายรูปออกมา อึ๋ยยยย….)

page-663

จากนั้นก็หั่นพวกที่แบ่งไว้เป็นขนาดพอคำ ตามใจชอบ อิชั้นชอบหั่นบางๆ หนาซักประมาณ 1 กระเบียดกำลังดี ไม่หนา ไม่บางเกินไป ถ้าบางแบบ paper thin ก็ไม่อร่อย หนาไปก็จะเหนียว หั่นแบบนี้แล้วสามารถทำไปปรุงได้หลายอย่างค่ะ ทำผัดพริง แพนง แกงเขียวหวาน ผัดน้ำมันหอย ฯลฯ ทำได้สารพัด จากนั้นนำเนื้อที่หั่นไว้ทั้งหมดแบ่งใส่ถุง กะให้แต่ละถุงพอเหมาะกับการนำมาปรุงอาหารแต่ละครั้ง คราวนี้อิชั้นแบ่งได้ 4 ถุงๆ ละ 400 กรัม ถ้าเป็นหมูก็จะแบ่งเป็นถุงเล็กกว่านี้ค่ะ (ประมาณ 200 กรัมก็พอค่ะ) เพราะส่วนมากเอามาผัดผัก ซึ่งจะใช้ผักเยอะกว่าหมู แต่ทำไมพอจานเนื้อถึงต้องใส่เนื้อเยอะกว่า ใครตอบได้ช่วยตอบที คิดเอง-งงเอง 5555

page-664

จากนั้นก็เอาเนื้อที่หั่นและที่ตัดแบ่งไว้จัดเรียงเข้าฟรีซเซ่อร์ เก็บไว้ได้นาน อิชั้นเคยนำหมูเนื้อที่หั่นเก็บไว้ในฟรีซเซ่อร์นานกว่า 6 เดือน เอาออกมาปรุงอาหาร…รับทานได้ ไม่เหม็น ไม่สาป เนื้อยังสดดี และสะดวกทันใจเวลาจะทำกับข้าวมากค่ะ แค่คว้าออกมาจากช่องฟรีซ เท่าที่ต้องการใช้ 1-2 ถุงก็ว่ากันไป เอาจานรองใส่ไว้ในช่องธรรมดาค้างซัก 1-2 คืน ถ้าจะผัดก็เอามาหมักซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วปรุงรส พริกไทย น้ำตาล น้ำมันหอย ฯลฯ ตามชอบ อย่าลืมใส่น้ำมันพืชลงไปซัก 2 ช้อนนะคะ พอหมักแล้วเอาเข้าไปเก็บในตู้เย็นตามเดิม ทิ้งไว้ซัก 2-6 ชม. ก่อนผัด เนื้อจะนุ่ม อร่อย เชียวค่ะ

เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน… “กันลืม” ค่ะ เผื่อว่าใครๆ ลืม “ทริ๊ก” ง่ายๆ ในครัวอันนี้ไปแล้ว

The end of an ox is beef,

and the end of a lie is grief.

No comments: