Thursday, April 16, 2009

น้ อ ง ดำ ด อ ต ค อ ม - เรื่องขาว ๆ ดำ ๆ ในสังคมไทยและเขมร

อัมพร จิรัฐติกร ampornfa@yahoo.com

ในระยะหลัง ๆ มานี้ดูโฆษณาทางทีวีของไทยจะมีแต่เรื่องขาว ๆ ออกมาให้เห็นจนล้นจอ เรื่องขาว ๆ ที่ว่านี้ก็มีตั้งแต่โฆษณาครีมหน้าขาว โลชั่นที่อ้างว่าจะทำให้ตัวขาว และยาปราบเต่าที่สามารถทำให้รักแร้ "ขาว" ได้อย่างน่ามหัศจรรย์

ครีมหน้าขาวเหล่านี้อันที่จริงก็ไม่ใช่ของใหม่ ผู้หญิงไทยสมัยก่อน ก็เคยใช้ขมิ้นขัดตัวขัดหน้าให้ขาว หรือในยุคหนึ่งสาวไทยจำนวนไม่น้อย ก็นิยมใช้ครีมกวนอิม โดยเชื่อว่าจะทำให้หน้าขาว แต่ของใหม่ที่มาพร้อมครีมหน้าขาว มาพร้อมโลชั่น ที่โฆษณาว่าทำให้ผิวขาวขึ้นในยุคปัจจุบันก็คือ เนื้อหาสาระที่บรรจุอยู่ในโฆษณาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ที่พยายามตอกย้ำอย่างเหลือเกินว่า ความดำเป็นสิ่งเลว เป็นของน่ารังเกียจน่าอับอาย

เพราะฉะนั้นคุณสาว ๆ จะต้องหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกไวท์เทนนิ่ง ไลท์เทนนิ่งทั้งหลาย เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคม อันหมายถึงเพื่อไม่ให้ถูกนินทาลับหลังว่า "น้องดำดอตคอม" เพื่อให้มีผู้ชายมาขอนัดกินข้าวด้วย และเพื่อไม่ให้แพ้เพื่อนที่ผิวขาวกว่า เลยมีผู้ชายมองมากกว่า

ลองดูสักสองสามตัวอย่างของโฆษณาเหล่านี้ แล้วเราอาจจะมองเห็นได้ว่า วงการโฆษณากำลังเล่นเกมอะไรบางอย่าง กับความคิดเรื่องความขาวความดำของผู้หญิงไทย

ชายหนุ่มสองคนเดินคุยกันมาตามทาง หนุ่มหนึ่งบอกเพื่อนว่า

“เราเพิ่งไปถ่ายรูปน้องฟ้ามา"

"น้องฟ้าเนี่ยนะ เปลี่ยนคนอื่นเถอะ ดำก็ดำ แล้วก็แบบ...เปลืองฟิล์มเปลืองแฟลช"

"เดี๋ยวนี้เค้าหน้าใสแล้ว"

เพื่อนยังไม่ยอมหยุด

"เฮ้ย ! รู้หรือเปล่า ฉายาน้องเค้าน่ะ...น้องดำดอตคอม !"

...และแล้วน้องฟ้าก็เดินมา หน้าขาว ใสปิ๊ง สะกิดไหล่หนุ่มคนที่เรียกน้องฟ้าว่าน้องดำ ชายหนุ่มหันไปเห็นร้องคราง

"น้องฟ้า" ด้วยความตะลึงในใบหน้าที่ขาวขึ้น จนสะดุดตาของเธอ

เสียงซาวนด์เอฟเฟ็กดังเป็นเสียงคนหน้าแตกเพล้ง ! ตัดเป็นภาพน้องฟ้าใช้โฟมล้างหน้า "พอนด์ สกินไลท์เทนนิ่ง" พร้อมเสียงอันน่าเชื่อถือระบุสรรพคุณว่า ใช้โฟมยี่ห้อนี้แล้วหน้าจะค่อย ๆ ขาวขึ้น

สรุปว่าน้องฟ้าเดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นน้อง "หน้าใสดอตคอม" ไปแล้ว

ก่อนหน้านั้นผลิตภัณฑ์หน้าขาวยี่ห้อนี้ ผลิตหนังโฆษณาออกมาด้วยสารที่ค่อนข้าง "เบา" กว่านี้ เป็นเรื่องของสาวออฟฟิศคนหนึ่ง ที่ชายหนุ่มซึ่งตัวเองปิ๊งอยู่ไม่ยอมสนใจเธอเอาเสียเลย เพราะเธอยังหน้าดำอยู่ แต่เมื่อเธอได้ใช้ "พอนด์ สกินไลท์เทนนิ่ง" หน้าของเธอก็ขาวขึ้น จนทำให้ชายหนุ่มคนนั้นยกป้ายขอนัดกินข้าวกับเธอทันที

โฆษณาครีมหน้าขาวอีกชนิดหนึ่ง เลือกพรีเซ็นเตอร์เป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อาภาพร นครสวรรค์ โดยให้อาภาพรออกมาร้องเพลงโฆษณา ที่เลียนเนื้อร้อง และทำนองเพลง "ชอบไหม" ของเธอ หนังโฆษณาปล่อยให้อาภาพรเดินไปเดินมาสองสามรอบ เพื่อร้องเพลงชอบมะ ชอบมะ ขาว ๆ อย่างนี้ จากนั้นก็มีเด็กสาวคนหนึ่งมาพูดจากับเธอเป็นทำนองว่า

"ก็หนูไม่สวยอย่างพี่นี่"

อาภาพรตอบด้วยน้ำเสียงเซ็กซี่ว่า "สวยน่ะไม่เท่าไหร่หรอกน้อง แต่ขาวน่ะมันเร้าใจกว่า"

นอกเหนือไปจากครีมหน้าขาว โลชั่นที่มักอ้างว่าใช้แล้วผิวจะขาวขึ้นในหกสัปดาห์แล้ว ผลิตภัณฑ์เพื่อความขาวอีกชนิดหนึ่ง ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้เองก็คือ ยาทารักแร้ ที่สามารถทำให้รักแร้ขาวได้อย่างมหัศจรรย์

ก่อนหน้านั้นโรลออนพวกนี้ ไม่เคยเสนอสรรพคุณ เรื่องความขาวมาก่อน มีแต่โฆษณาว่า ใช้แล้วแห้งสบาย ไม่เหนียวเหนอะหนะ กลิ่นหอมชื่นใจคนใกล้ชิด แต่เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นมาเน้น เรื่องความขาวไปได้ "เรโซนา ไวท์" เป็นตัวอย่างหนึ่งที่พยายามจะบอกคุณผู้หญิงทั้งหลาย ที่รักแร้ไม่ขาวว่า

"โจรปล้นสิบครั้ง ไม่เท่าอาย (เพราะรักแร้ดำ) ครั้งเดียว"

ลองจินตนาการดูว่า ถ้าคุณเป็นผู้หญิงที่หน้าตาพอไปวัดไปวาได้ วันหนึ่งเกิดอยากใส่เสื้อแขนกุดไปชอปปิง แล้วก็ให้บังเอิญมีโจรหน้าตาน่าเกลียด เข้ามาปล้นแผนกซูเปอร์มาร์เกต บังคับให้คุณยกมือขึ้น คุณไม่กล้ายก โจรเข้ามาตะคอกว่า

"บอกให้ยก ทำไมไม่ยก"

เมื่อคุณจำใจต้องยกมือขึ้น ตามคำสั่งของโจรกระจอก คนทั้งห้าง ก็พร้อมใจกันหันมามองคุณเป็นตาเดียว คุณจะรู้หรือไม่รู้ ก็ไม่ทราบว่าเขามองคุณเพราะอะไร แต่ที่แน่ ๆ คนทั้งห้าง รวมทั้งเจ้าโจร ต่างก็ทำสีหน้าผิดหวัง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า รักแร้คุณจะดำขนาดนี้ !

ใกล้ ๆ จุดที่คุณยืนอยู่ บังเอิญมีสาวนางหนึ่ง ใส่เสื้อแขนกุดเหมือนกัน แต่ต่างออกไปตรงที่รักแร้เธอขาวไร้ที่ติ เจ้าโจรจึงหันมาพูดกับคุณว่า

"มันต้องอย่างน้องคนนี้ ขาวจังน้อง ทำไงน่ะ"

น้องรักแร้ขาวเลยถือโอกาสตอนที่โจรเข้ามาใกล้ ยกขวดไวน์ฟาดจนโจรสลบไป แล้วเธอก็ยกมือโชว์ใต้วงแขนขาว ยิ้มรับเสียงปรบมืออย่างผู้ชนะ

ความสำเร็จของเธอในการปราบโจรได้ครั้งนี้ มาจากการใช้ "เรโซนา ไวท์" ที่ทำให้รักแร้ขาวววว เสียจนโจรต้องหลง

เชื่อได้ว่าหลังเหตุการณ์จบลงแล้ว คุณก็คงจะอายเสียจนต้องรีบไปหาซื้อ "เรโซนา ไวท์" มาใช้ เพราะเผื่อครั้งต่อไปโจรปล้นอีก จะได้ไม่ต้องอับอายจากรักแร้ที่ดำของตัวเอง ก็อย่างที่สโลแกนโฆษณาเขาว่าไว้ "โจรปล้นสิบครั้ง ไม่เท่าอายครั้งเดียว"

เรื่องทั้งหมดที่ยกมานี้ เป็นเพียงตัวอย่าง ของโฆษณาครีมหน้าขาว และโลชั่นที่คุยว่า ใช้แล้วทำให้ผิวขาวจำนวนมาก ที่ออกมาครอบครองพื้นที่ทางจอโทรทัศน์ ในช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือนให้หลัง นี่เป็นเพียงหนังตัวอย่างไม่กี่เรื่อง ซึ่งล้วนแต่กำลังเสนอสาร ต่อผู้หญิงไทยทั่วประเทศว่า ถ้าหน้าไม่ขาว ผิวไม่ขาว รักแร้ไม่ขาวแล้ว ชาตินี้ก็อย่าหวังว่า จะมีผู้ชายหน้าไหนมาสนใจเลย

ปีสองปีหลังมานี้ โฆษณาผลิตภัณฑ์ ที่ทำให้ผู้หญิงสามารถขาวขึ้นได้ ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นหน้า ผิว หรือรักแร้ ดูจะแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงลูกค้าอย่างหนัก ยิ่งแข่งขันกันสูงเท่าไร เนื้อหาโฆษณาก็ยิ่งดุเดือด จากที่แต่ก่อนอาจจะเป็นเพียงแค่ขาวขึ้น แล้วทำให้มีคนมาชวนกินข้าว หรือขาวขึ้นจนหนุ่มต้องมองเหลียว ก็กลายเป็นความพยายามที่จะสร้างความดำ ให้เป็นเรื่องน่ารังเกียจ เป็นความน่าอับอาย ดำอย่างนี้สมควรจะถูกเรียกว่า "น้องดำดอตคอม" (เพื่อให้เข้ากับยุคไอที) ดำอย่างนี้ใครจะอยากถ่ายรูปให้ เปลืองทั้งฟิล์มเปลืองทั้งแฟลช หรือดำอย่างนี้ใครจะมามอง

มันต้องขาว ๆ ถึงจะเร้าใจกว่า

ดูเหมือนเจ้าของผลิตภัณฑ์ จะมองเห็นตลาดของครีมหน้าขาว โลชั่นเปลี่ยนผิวขาวที่เพิ่มมากขึ้น และดูเหมือนคนทำโฆษณาจะหมดมุขใหม่ ในการชวนเชื่อ ให้หญิงสาวหันมาใช้ครีมหน้าขาวเสียแล้ว จึงต้องหันมาใช้วิธีเหยียดคนดำกันจะ ๆ ไปเลย เพื่อตอกย้ำความคิดที่ว่า ขาว-ดี ดำ-ชั่ว จนคนดำหมดความมั่นใจ หมดที่ยืนในสังคม และท้ายที่สุด ก็ต้องหันมาพึ่งพาครีมเหล่านี้ เพื่อให้ขาวขึ้นเหมือนคนอื่น ๆ

ดูโฆษณาเหล่านี้ทุกวัน ผู้เขียนก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าสนใจ ที่จะมองย้อนกลับไปดูว่า ความคิดเรื่องดำเลว ดำน่าอับอายนั้น มีอยู่ในสังคมไทยมาตั้งแต่เมื่อไร และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ความคิดเรื่องขาว-ดี ดำ-ชั่ว และความนิยมในการใช้ครีมหน้าขาว ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นเฉพาะในสังคมไทยเท่านั้น มันแพร่ระบาดไปถึงประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง พม่า ลาว และเขมรแล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผู้ประกอบการรายหนึ่ง ที่ส่งสินค้าเข้าไปขายในเขมรเล่าว่า ระยะสองสามปีหลังมานี้ ผลิตภัณฑ์ประเภทครีมหน้าขาว ทำตลาดฟู่ฟ่ามาก เมื่อเทียบกับสินค้าประเภทอื่น ที่บริษัทส่งไปขายในเขมร ยอดขายครีมทาเพื่อให้หน้าขาว โลชั่นที่คุยว่าใช้แล้วผิวจะขาวขึ้นพวกนี้ ทำรายได้ให้บริษัทเดือน ๆ หนึ่งเป็นล้านบาทเลยทีเดียว

นักธุรกิจรายนี้กล่าวว่า เขาเองยังแปลกใจว่า ทำไมมันถึงได้ขายดีขนาดนี้ ตัวเลขล้านบาทนั้นนับว่าสูงไม่น้อย เมื่อเทียบกับประชากรเขมร ที่มีเพียง ๗-๘ ล้านคน ตีเป็นผู้หญิงเสียครึ่งหนึ่ง และในจำนวนครึ่งหนึ่งนั้น สัดส่วนของคนที่มีกำลังซื้อ ก็มีไม่มากเลย

ตลาดครีมหน้าขาวในเขมร แบ่งออกเป็นสองระดับ ระดับล่างคือครีมทาหน้าขาวประเภทราคาถูก ที่โฆษณาว่าใช้แล้วเห็นผลทันที เรียกว่าทาปุ๊บขาวปั๊บเลยทีเดียว กับอีกระดับหนึ่งคือ ตลาดระดับกลาง โฆษณาว่าเป็นสินค้าคุณภาพ ใช้แล้วไม่ขาวทันที ต้องสองสามเดือนกว่าจะขาว แต่รับประกันได้ว่าปลอดภัย

ตอนนี้ครีมหน้าขาวชนิดราคาถูกกำลังมาแรงมาก ๆ ในหมู่สาวชาวเขมร เพราะคำโฆษณาที่ดึงดูดใจว่า ทาปุ๊บขาวปั๊บ บวกกับราคาถูก ในขณะที่ในเมืองไทยสินค้าประเภทนี้เลิกผลิตไปแล้ว เพราะมีส่วนผสมที่กัดผิวหน้าจน อย. (คณะกรรมการอาหารและยา) ไม่รับรองคุณภาพ อีกทั้งแนวโน้มของตลาดในเมืองไทย ก็เปลี่ยนไป สาวไทยไม่ว่าจะมีเงินหรือไม่มีเงิน ก็เริ่มหันไปใช้สินค้าเกรดดี มีคุณภาพมากขึ้น บริษัทหัวใสเหล่านี้ ก็เลยทำการผลิตครีมหน้าขาว (ที่ใช้แล้วอาจจะหน้าพังเอาได้ง่าย ๆ) ส่งออกไปขายในประเทศเพื่อนบ้าน คือเขมรเป็นหลัก

พูดอีกอย่างก็คือ ขายสาวไทยไม่ได้แล้ว ก็ส่งไปหลอกขายสาวเขมรแทน แล้วก็หลอกได้เสียด้วย เพราะสาวเขมร เกิดอาการอยากหน้าขาวขึ้นมาอย่างมาก ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีหลังมานี้

การที่ตลาดครีมหน้าขาวในประเทศเขมร แบ่งออกเป็นสองระดับนั้น ส่งผลให้เกิดการต่อสู้ทางการตลาดกันอย่างดุเดือด ผู้ผลิตครีมหน้าขาวราคาถูก ไปขายในเขมรได้เปรียบกว่า ตรงที่สินค้าราคาถูก ขายง่ายขายคล่อง โดยไม่ต้องสนใจว่าคนใช้แล้ว หน้าจะลอกจะพังอย่างไร ขอให้ขายได้เป็นพอ ในขณะที่ผู้นำเข้าครีมหน้าขาว ประเภทราคาแพงไปขาย ในเมื่อต่อสู้กับราคาของสินค้าเกรดต่ำไม่ได้ ก็จำต้องหากลยุทธ์แข่งขัน ถึงขั้นลงทุนโฆษณาทางโทรทัศน์ โจมตีครีมหน้าขาวราคาถูก ออกทางจอทีวีเลยทีเดียว

นักธุรกิจไทยที่นำเข้าครีมหน้าขาวนานาชนิดในท้องตลาดไทย ไปขายในเขมรเล่าว่า สามสี่ปีก่อน สินค้าตัวนี้ยังไม่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในเขมรเท่าไรนัก เพิ่งมาบูมมาก ๆ เอาสองสามปีหลังมานี้เอง

เมื่อถามว่าทำไมตลาดครีมหน้าขาวในเขมร ถึงฟู่ฟ่าเอามาก ๆ ในช่วงระยะหลัง ๆ นักธุรกิจรายนี้ให้ความเห็นว่า อาจเป็นเพราะอิทธิพลของรายการทีวีไทย ที่เข้าไปฉายในเขมร คนเขมรดูทีวีไทย ดูละครไทย เกมโชว์ของไทย แล้วเห็นดาราไทยแต่ละคนหน้าขาวจั๊วะ ก็เกิดความรู้สึกว่าดาราไทยทั้งขาว ทั้งสวย ทันสมัย ความสวยนั้นมาพร้อมความขาว จึงเกิดความอยากขาวบ้างตามแบบดาราไทย

คนเขมรซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ผิวคล้ำ ถูกอิทธิพลทีวีไทยซึ่งมีรสนิยมเดียวคือขาว ประกอบกับการไหลบ่าของสินค้าประเภทนี้ ที่มีโอกาสเข้ามาวางขายในตลาดเขมรมากขึ้น สาวเขมรที่เคยคิดว่าผิวกาย และใบหน้าที่คล้ำคมของตัวเองนั้น ไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลงได้ ก็เริ่มหันมารับรู้ว่า บัดนี้ได้มีผลิตภัณฑ์วิเศษที่สามารถทำให้มันขาวขึ้นได้แล้ว

สาวเขมรเลยแห่กันมาซื้อไปใช้ เสียจนบริษัทผู้นำเข้ารวยไปตาม ๆ กัน

ฝรั่งเอ็นจีโอรายหนึ่ง ซึ่งเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเขมรนานหลายปีเล่าว่า เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ในการที่จะบอกให้ผู้หญิงเขมรภูมิใจในสีผิวของตน สำหรับผู้หญิงเขมรแล้ว ผิวขาวดึงดูดใจผู้ชายมากกว่าผิวดำอย่างเห็นได้ชัด ผู้หญิงผิวคล้ำจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากความน่าเกลียด

ตามตลาดในพนมเปญ และตามเมืองใหญ่ ๆ ในเขมรจึงเต็มไปด้วยโลชั่น และครีมที่โฆษณาว่าจะทำให้ผิวขาวขึ้น แน่นอนว่ามาจากเมืองไทย และต้องติดป้ายเป็นภาษาไทย ญี่ปุ่น หรืออังกฤษเท่านั้น ติดป้ายเป็นภาษาเขมร คนเขมรจะไม่ซื้อเด็ดขาด

สาว ๆ เขมรจะพอกครีมพวกนี้ไว้บนใบหน้าก่อนเข้านอน ถ้าหากมีเงินมากกว่านี้ พวกเธอก็คงจะใช้ทาผิวทาแขนด้วย แต่นี่มีเงินน้อยก็เก็บไว้ทาเฉพาะหน้า หลายยี่ห้อที่วางขายในตลาด ก็อย่างที่บอกไปแล้ว คุณภาพไม่ดี จนทำให้สาวเขมรหลายรายเป็นเห่อคัน บางคนก็เกาจนอักเสบ

แต่พวกเธอก็ยังยืนยัน ที่จะประหยัดเงินทุกเรียล (หรือทุกดอลลาร์) ที่หาได้ เพื่อมาซื้อครีมพวกนี้

ชาวต่างชาติคนหนึ่งที่มีแฟนเป็นชาวเขมร ให้ความเห็นว่า มันยากที่จะบอกว่าเป็นอย่างไร เมื่อคุณกำลังมีเซ็กซ์ กับผู้หญิงที่พอกครีมหน้าขาวไว้เต็มหน้า ค่ำคืนนั้นของคุณ จะอบอวลไปด้วยกลิ่นครีมฟุ้งกระจาย มันยากที่จะบอกเธอว่า เขาไม่ต้องการให้เธอหน้าขาวไปกว่านี้ เพราะเธอจะตอบกลับมาว่า

เชื่อสิว่าถ้าฉันหยุดทาครีมพวกนี้ คุณก็จะทิ้งฉันไป

เรื่องยังไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะประเด็นเรื่องขาว ๆ ดำ ๆ นี้ได้กลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับ "เชื้อชาติ" ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

ในประเทศเขมรนั้น มีผู้หญิงเวียดนามเข้ามาอาศัยอยู่จำนวนไม่น้อย และผู้หญิงเขมรแทบทุกคนก็จะเห็นพ้องต้องกันว่า ผู้หญิงเวียดนามสวย เพราะขาว แต่ในขณะเดียวกันผู้หญิงเขมร ก็จะมองว่าผู้หญิงเวียดนามนั้นน่ารังเกียจ เพราะพวกนี้เข้ามาอยู่ในประเทศเขมร เพื่อประกอบอาชีพโสเภณีโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นอาชีพที่รุ่งเรืองที่สุดในเขมรปัจจุบัน รองจากการค้าอาวุธ และยาเสพย์ติด

ในขณะที่ผู้หญิงเขมรโดยทั่ว ๆ ไปรังเกียจสาวเวียด เพราะประกอบอาชีพโสเภณี โสเภณีเขมรเอง ก็เกลียดโสเภณีเวียดนาม เพราะพวกนี้เข้ามาแย่งอาชีพของตน ขายบริการในราคาถูกกว่า แถมยังได้เปรียบกว่าเพราะขาวกว่า

ผลของความสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้ เลยทำให้โสเภณีเขมร กลายเป็นคนกลุ่มที่ใช้ครีมหน้าขาวมากที่สุด ในประเทศเขมร เพราะเธอเข้าใจว่าผู้ชายต่างชาตินั้นชอบขาว ๆ เหมือนผู้หญิงเวียต

เรื่องนี้เลยกลายเป็นตลกร้ายสำหรับผู้หญิงเขมร และเป็นเรื่องโจ๊กดูถูกเชื้อชาติ ที่เล่ากันในหมู่ชาวต่างชาติว่า ฝรั่งคนหนึ่งเห็นผู้หญิงเขมรอยากขาวมาก จึงแกล้งบอกสาวเขมรว่า ที่ผู้หญิงเวียตนามผิวขาวนั้น เป็นเพราะพวกเธอประกอบอาชีพโสเภณี เพราะพวกเธอนอนกับผู้ชายต่างชาติ ผู้หญิงเขมรแสนซื่อ (ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพโสเภณี) เลยแทบจะรีรอไม่ไหว ที่จะกระโดดขึ้นเตียงกับฝรั่งคนแรกที่ชวน

เพื่อจะได้ผิวขาวเหมือนสาวเวียด

เรื่องอยากขาวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศเขมรเท่านั้น นักธุรกิจรายดังกล่าวบอกว่า บริษัทของเขากำลังจะไปบุกเบิกตลาด ในประเทศลาวกับพม่า และหลังจากที่ได้ลองไปสำรวจตลาดมาแล้ว พบว่าสาวลาว และสาวพม่า มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์หน้าขาวสูงมาก รับรองว่าไปเปิดตลาดเมื่อไร จะต้องขายดิบขายดีเหมือนในเขมรเป็นแน่

เรื่องนี้มองอย่างผิวเผินแล้ว ก็อาจจะฟังดูเป็นเรื่องธรรมดา ใคร ๆ ก็อยากขาวเป็นเรื่องธรรมชาติ และหลายคนก็อาจจะมองว่าความคิดเรื่องขาว-ดี ดำ-เลวนั้น ก็มีอยู่ในสังคมไทย และสังคมของประเทศเพื่อนบ้านมาเนิ่นนานแล้ว เราถึงได้มีคำเรียกแขกทมิฬว่า "หินชาติ" อันแปลว่า "มีกำเนิดต่ำ เลวทราม" ซึ่งนี่อาจเป็นภาพสะท้อนของการที่เรามองว่า ความดำนั้นเป็นของคู่กับความต่ำช้า เลวทราม

คนที่ดำมาก ๆ จึงกลายเป็น "พวกหินชาติ" ไปโดยปริยาย เพราะความดำเพียงอย่างเดียว

แต่อย่าลืมว่า เราเองก็ไม่เคยรังเกียจผิวสีของบรรพบุรุษของเรา ซึ่งไม่ใช่ผิวดำ แต่เป็นผิวสองสีตามเชื้อพันธุ์ ตามสภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศของเส้นศูนย์สูตร

เราไม่เคยคิดว่าเราดำ เมื่อเทียบกับแขก เมื่อเทียบกับจีน จนกระทั่งเมื่อเราติดต่อกับฝรั่งชาติตะวันตก จนกระทั่งเมื่อหนังฮอลลีวูดเข้ามา และจนกระทั่งเมื่อเรามีแต่ดาราลูกครึ่งเต็มเมือง

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการที่คนไทยผสมจีนมากขึ้น ทำให้ผิวกระเดียดออกไปทางขาวมากขึ้น และสังคมเมืองก็เติบโตขึ้น จนคนจำนวนมากไม่ต้องออกไปทำงานกลางแดด ค่านิยมของชายไทยก็เริ่มเปลี่ยนไป อันสะท้อนออกมาให้เห็นด้วยการใช้คำว่า "ขาว สวย หมวย" หรือ "สูงยาวขาวเพรียว" มาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการให้ "ค่า" แก่ผู้หญิง

ยิ่งมาถูกตอกย้ำด้วยการที่ครีมพวกนี้ผลิตออกมาสู่ตลาดมากขึ้น มีสรรพคุณราวกับของวิเศษ "ใช้ติดต่อกันในหกสัปดาห์ ผิวหน้าจะค่อย ๆ ขาวเนียนใส ผิวกายจะค่อย ๆ ขาวขึ้น" ยิ่งทำให้สาวไทยรู้สึกว่าความขาวเป็นสิ่งสร้างได้ ก็จำต้องสร้างขึ้นมาเพื่อให้สอดรับกับรสนิยมปัจจุบัน

เมื่อ ๒๐-๓๐ ปีก่อน เรายังมีดาราที่ผิวคล้ำ คมเข้มแบบไทย ๆ ประดับวงการอยู่เลย แต่พอถึงยุคนี้แทบจะไม่มีดาราหญิงคนไหนที่ผิวคล้ำ มีเพียงสองสามคนที่ไม่อาจถือว่าดำ แค่ขาวไม่เท่าคนอื่นเท่านั้น ก็มักจะถูกล้อถูกแซวว่าดำผ่านจอโทรทัศน์บ้าง ผ่านหน้าหนังสือพิมพ์บ้างให้ได้ยินตลอดเวลา

ผลิตภัณฑ์พวกไวท์เทนนิ่ง ไลท์เทนนิ่งทั้งหลาย ที่นำเสนอออกสู่ตลาด ในช่วงสามสี่ปีหลังมานี้ บวกกับความคิดสร้างสรรค์ของวงการโฆษณา กำลังสร้างผู้หญิงไทยให้เหมือนกันไปหมด คือหน้าต้องขาว ผิวต้องขาว และรักแร้ขาว (ความจำเป็นของยุคสายเดี่ยว)

ค่านิยมเหลานี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ได้ส่งผลสะเทือนต่อเพื่อนบ้านของเรา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะพวกเขาใช้สินค้าไทย ดูทีวีไทย และแน่นอนรับอิทธิพลทางรสนิยมไปจากไทยด้วย

ความทันสมัยของดาราไทย ที่เขาเห็นทางทีวีนั้นมาพร้อมกับความขาว จึงมิพักต้องสงสัยเลยว่า สาวเขมร สาวลาว สาวพม่า จะเกิดความรู้สึกอยากขาว อยากแลดูสวยทันสมัยแบบไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเขมร ที่ผิวคล้ำกว่าคนลาว คนพม่า จะหันมาเป็นเหยื่อผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างเต็มใจ

ฟังดูก็เป็นเรื่องตลกร้าย ที่ฉลากบอกสรรพคุณผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เมื่อส่งไปขายในเขมรจะต้องเขียนเป็นภาษาไทย ญี่ปุ่น หรือภาษาอังกฤษเท่านั้น ติดป้ายฉลากเป็นภาษาเขมร คนเขมรจะเห็นเป็นของเกรดต่ำ จะไม่ซื้อไปใช้เด็ดขาด คิด ๆ แล้วก็ขำไม่ออก ที่สาวเขมรแห่ซื้อผลิตภัณฑ์พวกนี้ไปใช้ คิดเป็นมูลค่าเดือนหนึ่งหลายล้านบาท โดยไม่สามารถอ่านสรรพคุณที่ติดข้างกล่องได้ เข้าใจว่าครีมที่ซื้อไปใช้นั้น จะทำให้เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้า และร่างกายของตน

แต่ก็ยังยืนยันที่จะซื้อไปใช้ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นของไทยแล้ว ต้องดีแน่นอน

ไม่น่าเชื่อว่าเราได้สูญเสียอะไรไปมากเหลือเกิน ในการที่จะพัฒนาไปสู่ความมีอารยะ แม้ว่าสิ่งที่เราได้มา คือความสามารถในการเปลี่ยนแปลงร่างกายของตน ขณะเดียวกันเราก็ทำให้คนผิวคล้ำหรือดำ ไม่มีที่ยืนในสังคม

เราได้พัฒนาไปสู่ความเจริญสูงสุด เพื่อที่จะให้โฆษณามาบอกกับเราว่า การเป็นคนดำนั้น มันเลวอย่างไร มันไม่สมควรถูกถ่ายรูป เพราะดำ มันทำให้ไม่มีผู้ชายมาขอเดท เพราะดำ มันน่าอับอายเวลาถูกโจรปล้น เพราะรักแร้ดำ

ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เรียกว่าโลกาภิวัตน์ ได้ทำให้คนในสังคมอุษาคเนย์ สูญเสียความภูมิใจในผิวสี ของบรรพบุรุษไปแล้วอย่างน่าเสียดาย

ขอบคุณ..ที่มา > > http://www.sarakadee.com/feature/2000/10/black_dot_com.htm

อ่านเจอบทความข้างบนแล้วชอบ เลยเอามาแบ่งกันอ่าน ใครไม่อ่านก็ช่าง เลยก๊อป+แปะ เก็บไว้อ่านเองก็ได้วะ

จากนิตยสาร “สารคดี” ฉบับที่ ๑๘๘ เดือน ตุลาคม ๒๕๔๓ โน่น พ.ศ. 2543 กระแส “ต้องขาว” แรงขนาดนั้น เดี๋ยวนี้แรงยิ่งกว่า โดยความเห็นส่วนตัว คิดว่าเป็นเรื่อง โง่ บ้า ไร้สาระมากๆ ไม่ใช่ว่าอิชั้นเกิดมา (ค่อนข้าง) ขาว แต่หนุ่มๆ สาวๆ รุ่นใหม่ที่เชื่อว่า “ต้องขาว” ถึงจะดูดีมีสกุล ทำทุกอย่าง ทุ่มเทเงินทอง ยอมเอาชีวิตเข้าแลก ข่าวยากิน ยาทาให้ขาว ที่อันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ มีให้อ่าน ให้ได้ยิน ให้ดู อยู่เรื่อยๆ แถมยังต้องเสียเงินโดยปล่าวประโยชน์ มีแต่โทษนิ ถ้าเกิดต้องตายไปฟรือพิกลพิการ-ยังต้องอายเค้าอีก เฮ้อ

ส่วนเรื่องดำๆ ของชาวเขมร 555 อันนี้ประสบการณ์ตรง 5555 เพราะเมื่อยังเป็นสาวน้อยช่วงนึงที่เด็ดพ่อมีคนขับรถ+ภารโรงเป็นคนเขมร จำแกได้แม่น เป็นคนดีคนนึง แต่เรื่องดำ แม๊..…. พี่แกดำดี ดำตูด ตูดดำมากๆ พออ่านเรื่องนี้ก็เลยนึกว่าเอาอะไรทาดีนะแกถึงจะขาวขึ้นมาหน่อย คิดไปไร้ประโยชน์ แกไม่เดือดเนื้อร้อนใจว่า “ต้องขาว” ห่วงทำมาหากินเลี้ยงชีวิตเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย สบายใจเฉิบของแกไป กู้ดๆ

แต่อิชั้นมีเพื่อนชาวเขมรอยู่ก้อนใหญ่ที่นี่ บางคนก็ดำทะมึนดี บางคนก็กาแฟส่ายนม ขาวๆ ผ่องแบบคนจีนก็มี จากที่เคยรักใคร่กันดี หลังๆ ห่างหายหน้าไป อิชั้นมีเรื่องเคืองใจเพราะ “พวกมัน” ชอบพูดจาดูถูกเหยียดหยามชาติไทย คนไทย อ้าว…แล้วกูนั่งโทนโท่อยู่เนี่ยเป็นใคร กูเป็นคนไทยนะโว้ย มันชอบพูดทำนองว่า ประวัติศาสตร์ชาติมันนะ ไม่มีประเทศสยามอยู่ในแผนที่โลกหรอก (บรรพบุรุษของกรูแบกมาด้วยจากเมืองจีนมั๊ง 555) คนไทยไม่ดีงั้น-งี้ แถมอาจเอื้อมจาบจ้วงเบื้องสูงด้วยบางครั้ง แม้แต่เรื่องเขาพระวิหาร พูดแล้วพูดอีก อิชั้นเคยพูดไปว่า อิชั้นเห็นด้วยนะว่าน่าจะคืนให้เขมรไป ขุด เจาะ ตัดภูเขา หน้าผานั่น หรือ ยกเอาที่มันต้องการเข้าไปไว้ในเขตมันซะ 555 อิชั้นไม่กล้าว๊ากแรงไปเพราะเป็นคนไทยอยู่คนเดียว ณ ที่นั้น เวลานั้น (แต่หลายหนนะเฟ้ย) ก็พ่นออกไปว่า อย่าคุยเรื่องแบบนี้เลย ไม่ยุติธรรมในหลายๆ แง่ ชาติบ้านเมืองของใคร-ใครก็รัก ประวัติศาตร์การบันทึกของแต่ละชาติก็ต้องว่าตัวเองดีตัวเองเก่ง เรื่อง ชาติ ศาสนา เป็นเรื่อง sensitive ถ้าคุยเรื่องแบบนี้กรูไม่คุยดีกว่า หลังๆ มันก็เพราๆ นานๆ เข้าก็ไม่ค่อยติดต่อกัน จริงๆ อยากจะโพล่งคำพูดจากใจออกไปว่า จ้า..พวกแกมันดี มันเริ่ด ถึงได้สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน จนต้องกลายเป็นคนอพยพไงจ๊ะ ฮี้ววว….

เมื่อไม่นานมานี้อีมี่ได้รับอีเมวจากเพื่อนเขมรตับดำของมัน (ลูกของเพื่อนเคยเลิ้บของอิชั้น) จริงๆ มันก็คุยกันบ้าง หลังๆ แม่ๆ ห่างๆ กัน ลูกๆ ก็เลิกคุยกันโดยปริยาย อีมี่ก็รู้สึกแปลกๆ มั๊ง เพราะส่งอีเมวหาอีเขมรตับดำนั่นกี่ทีก็ไม่ตอบกลับ คงจะเสียใจ น้อยใจมั๊ง เพื่อนที่เคยสนิทกันมากไม่ยอมตอบกลับ ก็บ่นๆ ตัดพ้อให้แม่ฟัง คุณแม่อย่างอิชั้น 5555 เก๋นะคะ ตอบลูกไปว่า ชั่งค่อตพ่อค่อตแม่มันเถอะลูก เพื่อนที่โรงเรียนก็มีเยอะแยะ ใครๆ ก็รัก อีเขมรดำปื้ดนั่นไม่พูดด้วยซะคนนึงจะเป็นไรไป She’s nothing to you จำใส่ใจไว้

อยู่มาวันนึง อีดำปื้ดนั่นส่งเมวมาถามอีมี่เรื่องดาวน์โหลดเพลงบนเน็ท ห้วนๆ ไม่มีหัว ไม่มีหาง อีมี่ก็ดีใจเพื่อนติดต่อมา ก็เลยอธิบายให้ลูกฟังว่า ถ้ามันไม่ต้องการประโยชน์ใดๆ มันก็ทรีตเราเหมือน nothing ขนาดมันต้องการความช่วยเหลือ คำแนะนำจากลูก มันยังห้วนไม่มีสกุลรุนชาติ ไร้มารยาทซะเหลือเกิน ให้ลูกอิกนอร์มันไป ไม่นานต่อมามันคงรู้สึกอะไรบ้าง ก็ส่งอีเมวมาหาอีมี่อีก 2 ประโยค ว่าที่ไม่คอยได้ตอบอีเมวเพราะ tired จบห้วนแค่นั้นตามระเบียบ กร๊ากกก…. เธอช่างสำคัญตัวเองผิดอย่างมหันต์ เธอมึงมิได้สลักสำคัญใดๆ ต่อชีวิตพวกกรูเล้ยยย… 555

ก็เลยบอกลูกว่ามันเหนื่อยมานาน 2-3 เดือนแล้ว 555 ก็เลยให้อีมี่ตอบไปว่า Hi, It’s OK! I’m fine. Don’t bother. ดูเหมือนตอนนี้ขาดกันโดยสิ้นเชิงมั๊ง 555 ไอ้เรื่องเส็งเคร็งของเด็กๆ ที่เล่ามา อิชั้นได้ถ่ายทอดให้พ่อบ้านฟังตลอด อิพ่อบ้านแขวะมากว่า You keep telling her – don’t let this sh*t bother her, but it’s bother you a lot hahaha 5555 เลยตอบไปว่า No, it’s not bother me at all…they’re just Cambodians! พี่ก๊อตของอิชั้นถึงกับฮาระเบิดเถิดเทิง คำพูดไม่กี่คำของอิชั้นมันช่างชัดเจนและให้ความรู้ตอกย้ำความความต่ำต้อยด้อยค่า ได้เจ็บปวดดีเหลือเกิน 555 ถ้าชาวขะแมร์ไหนๆ มาได้ยินเข้า 5555

จะพูดเรื่องขาวๆ ดำๆ ไหงกลายเป็นศึกระหว่างชาติพันธุ์ 555 Let’s get back to the point 555 เคยดูรายการ Independent Lens (broadcast on PBS stations) ตอน New Year Baby

เป็นเรื่องของเขมรอพยพที่มาอยู่เท๊กซัส ไม่ขอเล่าในดีเทล จริงๆ มันยาวมาก ประมาณชั่วโมงนึง แต่หาลิ๊งค์ให้ดูครบๆ ไม่ได้ จำได้ว่าตอนที่ดู เศร้า สาสารตอนที่เขมรแตกมากๆ แต่มีจุดนึงที่จำได้คือ ตาลุงคนเป็นพ่อเนี่ยพูดถึงว่าตอนที่โดนเขมรคอมมิวนิสต์บังคับจับคู่ให้ผัวเมียพวกชาวบ้าน คือทั้งจับแยก และจับคู่ให้ คือฝืนใจคนที่ไม่มีทางสู้ ทำลายสายพันธุ์ ตอนตาลุงนี่เห็นหน้าเมียแกบอกว่า โห..ดำ เหมือนคนชั้นต่ำ เกลียด แต่ก็จำทนเป็นผัวเป็นเมียกันมาถึงปัจจุบัน แกอธิบายว่า ไม่เคยรัก เพราะไม่ชอบคนดำ (แกเองก็ดำนี่หว่า 555) คนดำเป็นคนชั้นต่ำ จริงๆ มันคงเป็นมาตรฐานทางด้านความคิด stereotype ของคนทั้งโลก “รูปชั่ว-ตัวดำ” มันช่าง…ไม่ดี๊ไม่ดี

ที่อเมริกาถือว่าเป็นที่ที่มีคนหลายสี หลานเผ่าพันธุ์มาอยู่รวมกัน แล้วพยายามพูดเสมอๆ ว่าประเทศนี้ united ไม่ racist ขอบอกว่า ตอแหลมาก คนขาว คนดำ ไม่ได้ปนกันเป็นคนสีเทา ก็ยังแยกกัน เดียจสีผิว (คนเหลืองอย่างกรูไม่เกี่ยว 555) คนขาวก็จะบอกว่าคนดำชั่ว อาชญากร คนคุก ส่วนใหญ่ เป็นคนดำ มันก็จริง 555 คนดำก็ชอบบอกคนขาว racist มันก็เหมือนกันนั่นแหละว้า มึงไม่ใช่กู มึงไม่เหมือนกู มึงเลยเป็นคนชั่ว คิดเหมือนกันทั้งโลกแหละ

อิชั้นอยู่ที่บ้านนอกในเมกา (คนเอเซียมีน้อย majority ที่นี่เปลี่ยนไปจากเดิมเคยเป็น Caucasian ไม่นานมานี้ Hispanic หรือพวกเม๊กซิกันได้กลายเป็นชนกลุ่มใหญ่ในเขตนี้ไปเสียแล้ว ขยันทำลูกจนชนะ 555 แถมไอ้พวกนี้เป็นชนชั้นล่าง กรรมกร ชาวไร่ชาวสวน มันก็จะเหมาเอาว่าคนไทยสวยๆ อย่างดิชั้นก็คือพวกเดียวกับไอ้ม๊ง เขมร ลาว และเวียดนาม ที่อพยพมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ มันไม่รู้จริงๆ นะ ว่าประเทศของไอ้เอเชียพวกนี้อยู่ตรงไหนของโลก 555 คนเอเซียเหมือนกันไปหมดในสายตาพวกมัน) อิชั้นจึงเป็น “ของแปลก” หาดูได้ยาก สำหรับคนแถวๆ นี้ ไอ้เม๊กซิกันแถวนี้ก็มีหลายสี หลายเผ่า ขาวๆ สวยๆ พูดอังกฤษได้ ก็จะเป็นแบบไฮโซ กว่าไอ้พวกเตี้ยๆ ดำๆ หรือที่เรียกว่า “วาฮากา - Oaxaca (pronounced Spanicised as wahaca)” ซึ่งจะเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมดแถวนี้ พวกนี้ส่วนใหญ่หรือเกือบจะทั้งหมด (ไม่นับเด็กๆ ที่มาเกิดที่นี่) เป็นคนเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย ต้องรีบผสมพันธุ์ออกลูกออกหลาน “ให้ไว” จะได้กินสวัสดิการต่างๆ ของลูกที่ได้สัญชาติอเมริกัน แล้วใช้ลูกเป็น anchor เพื่อให้การ deportation ทำได้ยากขึ้นและดูเหมือนไร้มนุษยธรรม-พรากแม่พรากลูก แต่กฏหมายอเมริกันก็ค่อนข้างอ่อนเรื่องนี้ (และอีกหลายๆ เรื่องนิ) there’s a lot of loopholes ช่องโหว่เพียบ เลี้ยงกันไปเถอะนะ เตี้ยอุ้มค่อม-สานต่อโดย “ดำ” โอบาม่า 555

พล่ามจนหลงทางไร้หลักการณ์จริงวุ้ยกรู แต่ไม่หลงประเด็น ขอบอก เพราะพล่ามถึงเรื่อง ดำ และ เรื่องเขมร 5555 สรุปเข้าเรื่อง “ขาวดี - ดำชั่ว” ที่ไหนๆ ก็เหมือนกันไปหมด ใครๆ ที่อยากขาวก็เอาแต่พองาม รักตัวกลัวตายกันบ้างนะ เสียเงินแล้วยังต้องเจ็บต้องตายนี่ “บั๊ฟฟี่-ฟาย” มากๆ นะคะ

กมฺมุนา วตฺตตี โลโก

You reap what you sow.

No comments: